ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 542

ซวนหยวนฉงโจวพยายามลุกขึ้นมา แต่เขาพบว่า แค่เขาขยับ โครงกระดูกนั่นที่ห้อยเหนือหัวเขาก็จะขยับตามด้วย และทุกการขยับ แรงในร่างเขาก็จะหายไปเล็กน้อย

เดิมก็แทบไม่มีแรงเหลือแล้ว พอแบบนี้เขารู้สึกว่าเริ่มมึนหัวมากขึ้นเรื่อย

แต่ถ้าไม่ขยับ และนอนบนเตียงน้ำแข็งต่อไป เขาเชื่อว่าไม่นานตนต้องหนาวจนไม่สบายแน่

จะนอนรอความตายอยู่แบบนี้ไม่ได้

ซวนหยวนฉงโจวกัดลิ้นตนเองโดยแรง รสเลือดอุ่นค่อยๆหลั่งรินเต็มคอ ความอบอุ่นเล็กน้อยนี้ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย และความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาได้สติกลับมาเล็กน้อย

แค่พริบตาเดียวเขาไม่กล้าขยับอีก เขาต้องคิดหาทางขจัดโครงกระดูกประหลาดที่ห้อยเหนือหัวนี่เสียก่อน

ถ้าโหลชีอยู่ที่นี่ก็ดีสิ นางต้องมีหนทางแน่

ซวนหยวนฉงโจวที่นอนหนาวบนเตียงน้ำแข็งจนครุ่นคิดอะไรแทบไม่ออกยิ้มเศร้า เขาเริ่มติดการพึ่งพาโหลชีเสียแล้วสิ นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดี

ในตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงเรียกอ่อนแรง "วู๊..วู" ...

ซวนหยวนฉงโจวดีใจมาก รีบร้องขึ้นมาทันที "วู๊วู? วู๊วูรีบมาเร็ว!"

.....

คืนนี้โหลชีกับเฉินซ่าไม่มีทางนอนหลับในเรือนรับรองอย่างว่าง่ายอยู่แล้ว ระหว่างทางที่มาพวกเขาก็พักผ่อนมาแล้ว เพื่อจะได้อาศัยเวลากลางคืนหาร่องรอยโหลฮ่วนเทียน

"พวกเจ้าไปทางนั้น องครักษ์อวิ๋นพวกเจ้าไปทางนั้น เฉิงสิบ พวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย หน้าที่ของพวกเจ้าคือหา ไม่ใช่ช่วย หลังจากหาเจออย่าพึ่งทำอะไรเอิกเกริก รู้ไหม? อีกอย่าง ไม่ว่าหาเจอหรือไม่ เที่ยงคืนต้องกลับมาที่นี่ เข้าใจหรือไม่?" โหลชีกำชับ

เฉินซ่าต้องเป็นพวกออกคำสั่งแล้วไปเลย ไม่มีทางมากำชับให้ละเอียดและเตือนพวกเขาให้ระวังตัวแน่ ในสายตาเขา ต้องระวังตนเองอยู่แล้ว ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย

"เข้าใจขอรับ!"

ทุกคนแยกย้ายไปกันคนละทิศทาง

"ท่านแน่ใจว่าพวกเราจะไปหาที่นั่นรึ?" โหลชีมองเฉินซ่า เสียดายว่าพวกเขามาที่นี่ผิดเวลา ผ่านเที่ยงคืนไปก็เดือนเพ็ญแล้ว ถึงพวกเขาอยู่ด้วยกันจะไม่เป็นไร แต่ที่นี่คือตระกูลโหล พวกเขาจะไปศาลบรรพชนของตระกูลโหล เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา แล้วทั้งคู่ต้องแยกกันจะทำยังไง?

ถ้าแยกกันนางไม่แน่จะเป็นอะไร แต่พอผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว เขาจะทำยังไงล่ะ?

เดิมตอนบ่ายพวกเขาตั้งใจว่าจะให้คนอื่นไปหา พวกเขารอรับที่นี่ แต่หลังจากออกมาจากเกาะกลางทะเลสาบก่อนหน้านี้ เฉินซ่ากลับเปลี่ยนความคิดกะทันหัน เตรียมขึ้นไปสำรวจเกาะกลางทะเลสาบอีก

"ไม่ ที่นั่นมีแค่พวกเราที่ไปได้ คนอื่นไปมันอันตรายเกินไป" เฉินซ่าโอบเอวนางไว้ และพานางหลบแอบมุ่งหน้าไปทางเรือนสนทิพย์ และบอกนางไปด้วยว่า "ก่อนหน้านี้พวกเราไม่คิดว่าโหลเหล่าไท่จวินจะมาไม้นี้ อีกอย่าง ปฏิกิริยานางหลังได้รับบาดเจ็บก็ผิดปกติมาก" โหลเหล่าไท่จวินมาไม้นี้ อันที่จริงแสดงว่านางกำลังกร่างไม่เกรงกลัว และการแสดงออกของนางหลังได้รับบาดเจ็บทำให้เขารู้สึกว่าสติหรือจิตของยายเฒ่านี่ดูจะไม่ปกติหรืออาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ เขารู้สึกว่า เวลานี้นางอาจจะทำอะไรสักอย่าง และขอเพียงพวกเขาค้นพบความลับของนาง ก็เป็นไปได้อย่างมากที่จะรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร หรือจะทำอะไรกับโหลฮ่วนเทียน อีกอย่าง ข้อตกลงกับซวนหยวนจ้านตอนนั้นเป็นการตกลงอย่างเต็มใจหรือโดนบีบบังคับกันแน่

เท่านี้ก็เพียงพอที่จะวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ตอนนั้นของพวกเขาแล้วว่าดีหรือแย่ และพวกเขาจะมองโหลเหล่าไท่จวินเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่

โหลชีได้ฟังการวิเคราะห์ของเขาแล้วรู้สึกว่าถูกต้องมาก แต่ยังไม่สบายใจอยู่ลึกๆ เพราะผลที่พิษกู่ของเขากำเริบมันหนักหนามากเกินไป ถ้าเจออันตรายเข้าจะทำยังไง?

"ไปเถอะ" เฉินซ่าเป็นพวกคิดแล้วต้องทำ และเขาไม่ใช่คนแบบที่พอมีอันตรายแล้วจะล่าถอย ถ้าเขานิสัยอย่างนั้น ก็ไม่มีทางบุกเบิกฟันฝ่าจนมีผลงานแบบนี้ได้ เพราะครั้งแรกเขาไม่มีทางออกไปหาดอกลึกลับเองแล้ว เพราะตอนนั้นมีคนมากมายไล่ฆ่าเขา ด้านนอกมันอันตรายจริงๆ

อันที่จริงโหลชีเองก็ร้อนใจ ที่เฉินซ่าพูดนางก็เดาได้ และนางยังเป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายมากกว่าเฉินซ่าด้วย เฉินซ่าน่ะไม่ผูกพันกับโหลฮ่วนเทียน เขาแค่คาดเดา แต่นางเป็นห่วง

วิชาตัวเบาของทั้งคู่ดีมาก ต่างพุ่งตรงไปเรือนสนทิพย์ที่โหลเหล่าไท่จวินพำนัก ระหว่างทางราวกับควัน มองไม่เห็นเงาคนเลย

แต่พวกเขาพบว่าระหว่างทาง การป้องกันแน่นหนามากจริงๆ มีหลายครั้งที่พวกเขาเกือบโดนเห็นเข้าแล้ว ถ้าคนอื่นมา คาดว่าอวิ๋นหรือฉินซูเป่าคงไม่อาจลอบเข้าไปแบบไม่โดนจับได้แน่

เฉินซ่าส่งกระแสจิตหาโหลชีว่า "ตัวยายเฒ่าอยู่ที่นี่เอง เกาะกลางทะเลสาบก็อยู่ที่นี่ แสดงว่าของสำคัญหรือที่สำคัญต้องอยู่ที่นี่"

"มันก็ไม่แน่นะ ทุกคนก็คาดเดากันอย่างนี้ พวกเขาไม่แน่ว่าจะโง่อย่างนี้ไม่ใช่หรือไง?" เฉินซ่ากำลังจะพูด ทันใดนั้นราวกับคืนที่มีหมอกพาดผ่าน เขาหน้ามืดทันที เกือบเป็นลม เลยหยุดยืนทันที

โหลชีรู้สึกมึนหัวขึ้นมาเหมือนกัน เลยรีบคว้าแขนเฉินซ่าไว้ทันที

เวลานี้พวกเขาเข้าใกล้ห้องโถงนั่นที่เคยมาก่อนหน้านี้แล้ว

ประตูห้องโถงไม่ได้ปิด ในนั้นไม่มีตะเกียง แต่มองจากจุดที่พวกเขายืนอยู่เข้าไป ก็มองเห็นภาพเบื้องหลังที่สีดำแดงนั่น

เหมือนกับลำแสงสว่างวาบเข้ามาในสมองนาง นางสำลักกะทันหัน รีบบอกเฉินซ่า "ไป!"

ไม่รอนางพูด ในเวลาเดียวกันเฉินซ่าก็สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลได้ และโอบเอวนางเหาะปราดออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ!

ในตอนที่ร่างพวกเขาพึ่งปราดออกไป ก็มีร่างดำปราดไล่ตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ไอหมอกจางลงแล้ว ห้องโถงมีร่างปรากฏขึ้นสองร่าง สองคนนั่นคือโหลรั่วหว่านและโหลยู่เทียน

"ตามไหม?" โหลยู่เทียนเอียงคอถามโหลรั่วหว่าน

สายตาโหลรั่วหว่านวาบประกายเย็นชาขึ้นมา นางแค่นเสียงหึว่า "ทหารเงาสังหารตามออกไปแล้ว เจ้าคิดว่าพวกมันจะหนีได้รึ?"

"แต่จะฆ่าพวกมันสองคนมันไม่ง่ายขนาดนั้น ระวังไว้หน่อยดีกว่า"

"ฆ่า? ไม่แน่ว่าจะฆ่าได้ใช่หรือไม่? แต่ว่าข้าก็ไม่ได้ต้องการชีวิตพวกมัน ก่อนหน้าที่พวกมันจะช่วยข้าหาของเจอ หากข้าต้องการชีวิตพวกมัน บีบคั้นพวกมันลงผาโทงเทียนก็ได้แล้ว น่าเสียดายที่พวกมันเจ้าเล่ห์นัก ตอนสุดท้ายดันให้พวกมันคาดเดาได้ว่าที่นี่ไม่ชอบมาพากล และยังขาดตัวยาสุดท้าย"

โหลรั่วหว่านพูดพลางก้มหน้ามองพรมบนพื้น ส่วนโหลยู่เทียนกลับหันไปมองภาพกำแพงสีดำแดงนั่น

ห้องโถงนี่มีวางกลไกไว้ สิ่งของของแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ทั้งสองคนนั่นกลับรู้ ถือว่าเก่งจริงๆ น่าเสียดาย ตัวยาสุดท้ายถ้ามารวมกับอีกหลายชนิดจะยิ่งมีกลิ่นชัดเจนมากขึ้น โหลรั่วหว่านกลัวโหลชีจับกลิ่นได้ เลยแบ่งเป็นลงสองครั้ง ตัวยาสุดท้ายลงไปในพรมอีกผืน ตอนนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกเขา ขอเพียงพวกมันเข้ามา ก็สำเร็จแล้ว

"งั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ไม่มีตัวยาสุดท้าย พอพวกมันลงไปใต้ผาโทงเทียนจะมีฝีมือรับมือเจ้าพวกนั้นได้รึ?" โหลยู่เทียนขมวดคิ้ว

โหลรั่วหว่านหัวเราะร่วน เหล่เขาหนึ่งที "เจ้าโง่ ยาสามชนิดเป็นการเผื่อไว้ ตอนบ่ายพวกมันโดนไปสองชนิดแล้ว กำเริบขึ้นมาคงพอให้พวกเขารับมือกันหรอก อีกอย่างใกล้จะจันทร์เต็มดวงแล้ว ข้าได้ให้พวกทหารเงาสังหารพยายามแยกพวกมันสองคนออกจากกันอย่างสุดความสามารถ"

"ขอเพียงแยกจากกัน เฉินซ่าก็เท่ากับคนไร้เรี่ยวแรงใดๆ ทำลายสมองของเขาก่อน จากนั้นเอามาทำเป็นหุ่นเชิด ก็เท่ากับสำเร็จแล้ว"

โหลรั่วหว่านพยักหน้าบอก "นี่เป็นภารกิจที่ฝ่าบาทให้พวกเรา ต้องทำสำเร็จให้ได้! ขอเพียงทำภารกิจนี้สำเร็จ ต่อไปฝ่าบาททำงานใหญ่สำเร็จ พวกเราก็จะอยู่ใต้คนผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น!" พอได้ยินนางพูดอย่างนี้ โหลยู่เทียนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

ไม่นานเฉินซ่าก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนตามมา และไม่แค่คนเดียวด้วย วิชาตัวเบาของอีกฝ่ายถึงเทียบกับเขาและโหลชีไม่ติด แต่จะสลัดอีกฝ่ายให้หลุดก็ทำไม่ได้เช่นกัน ฝ่ายนั้นกัดไม่ปล่อยเลย

"เวลานี้กลับไปไม่ได้" โหลชีขมวดคิ้ว

คนพวกนี้ต้องเป็นยอดฝีมือที่สุดของตระกูลโหลแล้ว ถ้าพาคนพวกนี้กลับไป คนอื่นจะเป็นอันตราย

เฉินซ่ารับคำอืม ผลันร่าง เปลี่ยนทิศทันที

ในเวลานี้เอง ซวนหยวนอี้กำลังพยุงเฉินเซียงเตรียมขึ้นไปดูสถานการณ์บนยอดหลังคา พอดีมองเห็นพวกเฉินซ่าพุ่งไปอีกทาง เขาเห็นทางนั้นมีกลุ่มควันเบาบาง พลันสีหน้าเปลี่ยน

"ไม่ถูก ไม่ถูก นั่นเหมือนกับ..." เขาร้อนใจรีบให้เฉินเซียงหันไปดู "เจ้าดูสิ นั่นเหมือนกับควันรากษสที่เอาไว้ต่อกรสายเลือดราชตระกูลเฉินของพวกเจ้าไหม?"

เฉินเซียงสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยิน หันคอที่เริ่มแข็งไปดู หรี่ตาสังเกตดู จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที "ใช่..."

"พวกเขาเกิดเรื่องแล้ว!"

ซวนหยวนอี้รีบตัดสินใจทันที เขาพยุงเฉินเซียงกระโดดลงมา ปากยังเป่าหวีดส่งสัญญาณ

คนที่เหลือพุ่งออกมาทันที ซวนหยวนอี้สั่งการอย่างเร็ว "ไปตามเส้นทางที่จักรพรรดิจักรพรรดินีของพวกเจ้าสั่งไว้ ทิศหนึ่งไปสี่คน รีบเรียกคนกลับ! ต้องเร็ว!"

จากนั้นเขาก็ส่งเฉินเซียงเข้าอ้อมกอดอิ้นเหยาเฟิงพลางว่า "ช่วยข้าดูแลนางด้วย"

อิ้นเหยาเฟิงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่นว่า "ข้าอยู่ ฮูหยินอยู่"

ซวนหยวนอี้พยักหน้าอย่างขอบคุณ จากนั้นบอกหมอเทวดาว่า "เอายาทั้งหมดไปด้วย ข้าจะพาเจ้าไปตามเฉินซ่ากับโหลชี พวกเขาอาจจะเกิดเรื่องขึ้น!"

ในวันนึงข้างหน้า ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับซวนหยวนอี้ เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ของเขามันช่างชาญฉลาดนัก!

เฉินซ่ากับโหลชีผลันร่างพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งหมอกควันสองสาย

"หยุดก่อน สู้เถอะ ด้านหน้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล" โหลชีเห็นหมอกควันสีผิวอ่อนนั่น

เฉินซ่าเชื่อนางเต็มร้อยอยู่แล้ว พอได้ยินดังนั้นก็รีบหยุดฝีเท้าลงทันที

แทบจะในทันทีที่หยุด เงาร่างหลายร่างนั่นก็ตามขึ้นมา หยุดห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบก้าว แล้วหยุดลงมา พอเฉินซ่าเห็นจุดที่พวกเขายืนก็พอเข้าใจ ล้อมไว้ครึ่งเดียว เหลือแค่ด้านหลังพวกเขาที่เป็นที่ว่าง ความหมายก็คือ เหลือทางไปแค่ทางนั้น

เจ็ดคน

แต่ละคนล้วนกำลังภายในล้ำลึก แต่พวกเขาสองคนไม่แน่ว่าจะแพ้

"ชีชี...อุ๊...."

เอวโหลชีบีบแน่น ฉับพลันใจเต้นแรงขึ้น "ท่านเป็นอะไรรึ?"

"พิษ...กำเริบ..." สีหน้าเฉินซ่ากลายเป็นสีเขียวเทาขึ้นมาทันที และเริ่มดำคล้ำมากขึ้น

โหลชีหันไปมองแวบเดียวก็ชะงักกึก "กู่ไม่ได้กำเริบรึ?"

"เปล่า...."

นี่เป็นครั้งแรกที่พิษกำเริบเท่านั้น!

แถมทำไมโอบโหลชีไว้แล้วยังไม่บรรเทาลงล่ะ? หรือว่ามีแต่ตอนที่พิษกู่กำเริบพร้อมกันเท่านั้น นางถึงจะช่วยแก้ได้?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ