เดิมเฉินซ่าคิดว่ารอยยิ้มนี้ของเขาจะทำให้โหลชีหลงใหลจนโผเข้าอ้อมกอดเขาทันที ไม่คิดว่านางจะเพียงแค่มองตนอย่างตะลึง ดวงตากลมโตประกายน้ำระยิบระยับเต็มไปด้วยคำถาม มองเขาราวกับสงสัยว่าเขาไม่สบาย นี่ทำให้จักรพรรดิเฉินไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
"มองอะไร?"
"แค่กแค่ก"
โหลชีคิดตกในที่สุด น่าจะเพราะเมื่อครู่นางมองรอยยิ้มของเฉิงสิบสุดหล่อตะลึงไปสองวินาที ทำหมอนี่หึงอีกแล้ว แต่ฝ่าบาทท่านจะปกติหน่อยได้ไหม? ถ้าเป็นเวลาปกติพอยิ้มก็จะทำให้นางตะลึงได้หรอก แต่ในตอนนี้อยู่ดีๆก็มายิ้ม มันน่าตกใจนะรู้ไหม?
นางจับแขนเขาไว้ หันไปรับหน้าข่งซิวและพวกอวิ๋น ขมวดคิ้วน้อยๆถามว่า "ท่านอาข่ง องครักษ์อวิ๋น คนอื่นล่ะ?" ใจกระตุกวูบ พวกเขาคงไม่ใช่เกิดเรื่องหรอกนะ?
ข่งซิวมองออกถึงความกังวลของนาง รีบบอก "พวกเขามิเป็นไร พวกเราจะไปลองสำรวจดูสักหน่อย ให้พวกเขาหาที่พักแรมพักผ่อนก่อน"
โหลชีถึงถอนหายใจโล่งอก ส่วนพวกองครักษ์อวิ๋นและเฉิงสิบต่างเห็นดวงตาสีดำแดงคู่นั้นของเฉินซ่า แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตกตะลึงจากนั้นเป็นกังวลขึ้นมา
"ฝ่าบาทพิษกู่กำเริบแล้วรึ? เหตุใดครั้งนี้..." ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ?
"ข้าถอนพิษแล้ว ตอนนี้เหลือแค่กู่ที่ยังไม่ได้แก้" เฉินซ่ากลับสงบนิ่ง มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่สงบนิ่งคือท่าทีก่อนหน้านี้ของโหลชี ไม่หลงใหลในรอยยิ้มของเขาเท่านั้นเอง กลับเปลี่ยนหัวข้อ ไม่มีแม้แต่คำชมเชยเลยสักนิด
ว่ากันว่า คนสองคนอยู่ด้วยกันนานแล้วความรักจะจืดจางลง เขาเองไม่รู้สึกเยี่ยงนั้น กลับยิ่งรักนางมากยิ่งขึ้น แต่นางเล่า? คงมิใช่เบื่อหน้าเขาแล้วกระมัง? จะทำได้อย่างไร! ต่อไปยังมีอีกหลายสิบปี พึ่งผ่านไปแค่ปีเดียวก็เบื่อหน้าแล้วจะทำยังไงดี!
ดูท่าต้องหาเวลาคุยกับนางให้รู้เรื่องแล้ว
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นสบตากัน ต่างมองออกว่าสีหน้าฝ่าบาทไม่น่าดูอย่างมาก บรรยากาศก็เย็นมาก ทั้งคู่ต่างรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก แต่ไม่คิดว่าตอนนี้เฉินซ่ากลับคิดถึงเรื่องอื่น คิดแต่เพียงว่าทำยังไงให้โหลชีรักเขามากขึ้น
สายตาอวิ๋นมองไปที่มือโหลชีที่กอดแขนเฉินซ่าอยู่ พลางถามขึ้น "กู่ของฝ่าบาทตอนนี้โดนสะกดไว้ชั่วคราวใช่หรือไม่?"
โหลชีพยักหน้า "ใช่ แต่ไม่รู้ว่าจะกำเริบเมื่อไหร่ พวกเราคาดเดาว่าคนที่ลงกู่นั่นเป็นไปได้ว่าจะอยู่ที่นี่ ดังนั้นเลยจะเข้าไปสำรวจดู"
ต้องเข้าไปที่นี่อยู่แล้ว เพราะคนตระกูลจินสามคนที่สงสัยว่าจะโดนลงกู่พึ่งหายสาบสูญไปได้ไม่นาน ถ้าโดนลงกู่ก็น่าจะเป็นแค่สองวันนี้ คนลงกู่ไม่น่าจะอยู่ห่างไกลไปนัก
เวลานี้หลงเอี๋ยนกลับปราดร่างออกมา ในมือถือกระดาษไว้ใบหนึ่ง บอกกับเฉินซ่าและโหลชีว่า "ฝ่าบาท ประมุขเสี่ยวชี คนของพวกเราสืบได้แล้ว ตระกูลใหญ่ๆล้วนโดนฆ่าล้างตระกูลหมดแล้ว เจ้าตระกูลกับลูกหลานสายตรงที่วิทยายุทธ์ดีที่สุดหรือมีพรสวรรค์ดีที่สุดล้วนหายสาบสูญหมดแล้ว!"
ข่าวนี้ทำให้ทุกคนสะท้านเยือก
"พูดแบบนี้ ทุกตระกูล เหลือแค่ตระกูลโหลตระกูลเดียวแล้ว" สีหน้าหมอเทวดาตกตะลึง
คราแรกตระกูลเหล่านี้เป็นเสมือนเทพในสายตาพวกเขา ตระกูลโหลตระกูลเดียวเพียงพอให้คนในแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางพากันเลื่อมใส
แต่ตอนนี้ตระกูลเหล่านั้นกลับโดนทำลายล้างหมด อำนาจเบื้องหลังนั่นทำให้พวกเขาหวาดหวั่นยิ่งนัก
ข่งซิวส่ายหัว "ไม่ ตระกูลโหลไม่แน่ว่าจะอยู่รอดได้"
คำพูดนี้....
โหลชีเองก็พยักหน้า "ตอนนี้ที่น่าสงสัยคือตระกูลโหล"
"จริงสิ จักรพรรดินี ข่าวที่พวกเราได้ยินมาคือ นายน้อยโหลอาจจะถูกขังไว้ที่นี่" เฉิงสิบรีบบอกข่าวที่พึ่งได้มากับโหลชี
โหลชีสายตาเป็นประกาย "งั้นยิ่งต้องแทรกตัวเข้าไปเลย โหลวซิ่น เจ้าพาหมอเทวดากลับไปหาพวกแม่ทัพฉิน ไม่ต้องตามมาแล้ว"
"ขอรับ" โหลวซิ่นรู้ว่าในที่นี้วิทยายุทธ์ตนถือว่าต่ำที่สุด คำสั่งของโหลชีเขาไม่อาจไม่ทำตาม ได้แต่พาหมอเทวดาถอยออกไปอย่างจำยอม
"จักรพรรดินี ฝ่าบาทยกให้ท่านแล้วนะ" หมอเทวดาเป็นห่วงเฉินซ่าที่สุด
เฉินซ่าโบกมือให้พวกเขารีบไป
ระมัดระวังอ้อมผ่านหอเฝ้ายามหลายอัน ด้านนอกกำแพงด้านหนึ่ง โหลชีได้ยินเสียงสับสับสับ เดาว่าที่นี่คือห้องครัว น่าจะถือเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเปลี่ยวแล้ว
นั่นไงการป้องกันถือว่าผ่อนคลายหน่อย มีหอเฝ้ายามหลายแห่งโดนพวกเขาหลายคนแยกกันไปจัดการอย่างรวดเร็ว
พลิกตัวข้ามกำแพงล้อมอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นเรือนที่เรียบง่าย ประดับชั้นวางไม้ไผ่จำนวนมาก ด้านบนแขวนชิ้นเนื้อหรือไส้กรอกหลากหลายรูปแบบมาก ยังมีปลาแห้ง
ถ้ามองแวบแรกเห็นแค่ที่นี่ พวกเขาคงคิดว่าเป็นเรือนนายพรานธรรมดา หรือไม่ก็บ้านชาวนาที่ฐานะพอสมควร เพราะไม่มีวี่แววอันตรายหรือรังสีอำมหิตเลยสักนิดนี่นา
เสียงสับสับสับดังมาจากด้านหน้าห้องครัว พวกเขาฟังไปอีกครู่หนึ่งก็รู้สึกผิดสังเกต ต่อให้กำลังสับเนื้อ จังหวะดูจะสม่ำเสมอไปหน่อยกระมัง และยังเร็วมาก สับนานขนาดนี้ไม่มีจังหวะหยุดพักเลย นี่ไม่ใช่ระดับพ่อครัวธรรมดาสามารถทำได้เลย
"วิชามีดของพ่อครัวผู้นั้นน่าจะดีมาก" ข่งซิวพูดออกมา ทำสัญญาณมือ ให้พวกเขารอก่อน ตนเองกลับพุ่งไปยังห้องครัวราวใบไม้ปลิว
นี่เป็นห้องครัวที่กว้างขวางมากห้องหนึ่ง ดูแล้วมีเตาสิบกว่าเตา บางเตาวางหม้อไว้ บางเตาวางหม้อเหล็กยักษ์ ส่วนมากยังมีไอร้อนพุ่งออกมา
ตรงกลางมีโต๊ะไม้ใหญ่มากโต๊ะหนึ่ง ตอนนี้ด้านบนวางแผ่นไม้ใหญ่ไว้หนึ่งแผ่น ข้างแผ่นไม้ใหญ่มีเนื้อวางอยู่กองหนึ่ง สีแดงสด มองแวบเดียวดูไม่ออกว่าเป็นเนื้ออะไร ตรงหน้ามีบุรุษที่ยืนกางสองขา มือทั้งคู่ล้วนถือมีดทำครัวไว้ ผูกผ้ากันเปื้อนสีดำเอาไว้ ดูแล้วเหมือนจะเป็นสีดำ เขากำลังสับเนื้ออย่างรวดเร็วด้วยสองมือ เนื้อโดนสับจนเลือดกระเด็นกระจาย เขากลับสับต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ด้านข้างยังมีอีกคนหนึ่ง คอยเอาเนื้อที่เขาสับละเอียดใส่เข้าไปในหม้อเหล็กหลายใบ จากนั้นก็ยกออกไป
"ท่านอาข่ง ตามเขาไป" โหลชีส่งกระแสจิตหาข่งซิว และพาพวกเฉิงสิบตามไปด้วย
สถานที่นี้พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดว่ามันมีอันตรายซ่อนอยู่ พวกเขาพาคนมาแค่นี้อยู่รวมกันดีกว่า มิเช่นนั้นเกิดเรื่องแล้วจะดูแลกันไม่ได้
อีกอย่าง ตอนนี้เฉินซ่าต้องการการปกป้องอย่างยิ่งยวด
พวกเขาตามหลังผู้ชายคนนั้นไป เห็นเขาออกจากเรือน เดินไปทางภูเขาปลอมกลางส่วนใหญ่ ใช้เท้าเหยียบก้อนหินหลายครั้ง ภูเขาปลอมนั่นพลันขยับ เผยให้เห็นทางเข้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ