ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 576

มีทางแยกในป่าเฟิงที่พวกเขาวิ่งผ่านมาก่อนหน้านี้ เป็นทางแยกที่มีลักษณะแตกเป็นสาขาบนภูเขา แต่เส้นทางที่กู้เส่าอี๋ชี้บอกให้พวกเขาไป เดิมทีเป็นถนนเส้นหลักที่เป็นทางตรง เมื่อได้พบกับของพวกนั้นเข้า โหลชีจึงคิดที่จะหลีกเลี่ยงมัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องไปเลี้ยวที่ถนนเส้นนั้น

อันที่จริงเฉินซ่าก็มองเห็นไม่ชัดนักว่ามันคืออะไร แต่เพราะเขาไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของโหลชีมาก่อน หลังจากที่นางชักม้าหันหลังกลับ เขาถึงได้เหลียวหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง พอได้เห็นชัดขึ้นมาบ้างแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำไปทันที

คนอื่นๆ ไม่เห็นอะไรเลย รู้เพียงว่าพวกเขาต้องตามไปจนสุดทาง เมื่อขึ้นไปถึงทางแยก ทุกคนค่อยมีท่าทีผ่อนคลายลงมาบ้างเล็กน้อย พากันถามโหลชีว่านางเห็นอะไร

โหลชีขมวดคิ้วนิ่วหน้า พอหันหลังกลับไปดู ก็ไม่เห็นพวกเฉินซ่าตามมา

"จักรพรรดินี กระหม่อมจะไปดูเองพ่ะย่ะค่ะ" เทียนยีหันหัวม้าไป

"อื้ม ระวังตัวด้วยล่ะ"

ขณะที่มองดูเทียนอีควบม้าตะบึงกลับไป โหลชีก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายให้กับพวกอิ้นเหยาเฟิงได้ฟังว่า "ก็เป็นคนนี่ล่ะ เป็นผู้ชาย" แต่ของพวกนี้คงเป็นของอัปมงคลที่ใช้มนต์ดำของแผ่นดินใหญ่หลงหยินสร้างขึ้น ด้วยความที่นักพรตเลวไม่ได้อธิบายอะไรให้นางฟังอย่างชัดเจนมากนัก แต่นางก็พอจะคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ที่อิ้นเหยาเฟิงจะได้เห็นโหลชีทำสีหน้าย่ำแย่ระหว่างที่ถูกใครสักคนไล่ล่าแบบนี้ ดังนั้นในใจจึงนึกตะขิดตะขวงจนต้องถามให้มันชัดเจน โหลชีเห็นว่าพวกนางมีท่าทางอยากรู้อยากเห็นจริง ๆ จึงช่วยคลายข้อสงสัยให้เสียหน่อย

ในเวลานี้เอง เทียนยีก็ไล่ตามไปถึงที่นั่น ในระยะครึ่งช่วงถนนเขาก็เห็นเปลวไฟพวยพุ่งดั่งเสาเพลิงรายล้อมทั่วสารทิศ เมื่อตัดสินใจเข้าไปจับตาดู กลับเห็นเด็กสาวสามคนกำลังถือแส้ยาวในมือ บนแส้นั้นมีไฟลุกโหมอยู่ กำลังหวดฟาดเข้าใส่ร่างของผู้ชายที่เปลือยกายล่อนจ้อนราว ๆ สิบกว่าคนอย่างรวดเร็ว

ร่างของผู้ชายพวกนั้น เปลือยเปล่าชนิดที่ไม่มีอะไรปกปิดแม้แต่ชิ้นเดียวจริง ๆ อีกทั้งเจ้าสิ่งใต้สะดือนั่นก็ยังผงกหัวเงยขึ้นจนสูง สั่นไหวไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของพวกเขา ภาพฉากนี้ทำให้เขาที่เป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ไม่น่าแปลกใจหรอกที่จักรพรรดินีจะรีบหนี

ไม่กลัวพวกมีวรยุทธ์สูงส่งแกร่งกล้า ไม่กลัวพวกใช้ยาพิษใช้กู่พิษ แต่ภาพแบบนี้ช่างน่ากลัวในระดับเป็นมลพิษต่อสายตาเหลือเกินแล้วจริงๆ!

เฉินซ่ากับโหลวซิ่นนั่งอยู่บนหลังม้า กำลังมองดูเด็กสาวทั้งสามเข่นฆ่าทรมานผู้ชายพวกนั้น เทียนยีเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะเอ่ยถามว่า "ฝ่าบาท คนพวกนี้เป็นใครหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร เฉิงสิบจึงเป็นฝ่ายตอบให้แทนว่า "คนจากเผ่ามนต์ขาว"

เด็กสาวสามคนนี้เป็นคนของเผ่ามนต์ขาวรึ ? เทียนยีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จึงเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรฝ่าบาทถึงเฝ้ารออยู่ที่นี่ ท่านแม่ของจักรพรรดินีหลบหนีออกมาจากเผ่ามนต์ขาว ฝ่าบาทคงคิดจะเค้นถามข้อมูลจากปากของเด็กสาวสามคนนั้น ถึงเรื่องราวของเผ่ามนต์ขาวแน่ ๆ

ยังมีตอนที่อยู่ในสุสานตระกูลโหลก่อนหน้านี้ พวกเขายังได้กุญแจหยกมาดอกหนึ่ง จึงจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าเผ่ามนต์ขาวกำลังตามหากุญแจดอกนี้ เพื่อที่จะเตรียมใช้เปิดหุบเขาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่

ในเวลาที่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเจรจาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เทียนยีจึงยืนรออยู่ข้าง ๆ

แม้ว่าพวกผู้ชายสิบกว่าคนนั้นจะอยู่ในสภาพที่คับขันลำบากไม่น้อย แต่พอสังเกตดูดี ๆ จะพบว่าพวกเขาแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาหมดจด รูปร่างก็ดูดี ทั้งมีผิวที่ขาวละเอียดด้วย

ดูไปแล้ว เหมือนพวกคุณชายที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

แม้ว่าพวกเขาจะถูกฟาดด้วยแส้ไฟ แต่สีหน้าของพวกเขากลับดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แววตาเลื่อนลอย เสียงร้องของพวกเขาก็ฟังดูอ่อนแออย่างน่าประหลาด ยิ่งฟังก็ยิ่งอึดอัดชอบกล

"คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?"

โหลวซิ่นกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า "ไม่รู้สิ เด็กสาวสามคนนั้นไล่ตามมาจากด้านหลัง มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ลงมือหวดไม่ยั้งเลย"

ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเด็กสาวคนหนึ่งด่าทอด้วยความโกรธเคือง ขณะที่มือก็สะบัดแส้เข้าใส่ผู้ชายคนหนึ่งว่า "ช่างเป็นตัวชั่วช้าไร้ยางอายอะไรอย่างนี้! กล้าใช้มือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องตัวข้ารึ!"

พูดพลาง แส้ไฟก็เหวี่ยงฟาดไปที่ลำคอของชายคนนั้น แส้ตวัดรัดรอบลำคอ เมื่อออกแรงตวัดเปลวไฟก็ลามเลียไปตามใบหน้าและเส้นผมของชายคนนั้น เพียงพริบตาเดียวไฟก็ลุกท่วมขึ้นมาทันที

เขาร้องโหยหวนก่อนจะทรุดตัวล้มลงกับพื้น เด็กสาวดึงแส้กลับมา ล้วงขวดใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่อกเสื้อ กัดจุกที่ผนึกฝาขวดออก แล้วหยดยาสีเขียวเข้มลงไปสองสามหยดบนร่างนั้น ได้ยินเสียงดังฉ่า ๆ ลอยมา เพียงไม่นานศพนั้นก็กลายสภาพเป็นกองเลือดกองหนึ่งไป

เด็กสาวอีกสองคนก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แม้ว่าผู้ชายพวกนั้นจะวิ่งกรูเข้าใส่พวกนางไม่หยุด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกนางดูคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้มาก แม้จะโกรธแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวที่สะเปะสะปะ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถจัดการพวกผู้ชายสิบกว่าคนนั้นได้

ในเวลานี้เอง เด็กสาวคนหนึ่งก็หันหน้ามา หายใจหอบเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะเหนื่อยมากจริง ๆ เมื่อเห็นพวกเฉินซ่า แววตาของนางก็ปรากฏความประหลาดใจระคนอัศจรรย์ใจ แต่นางก็ยังตะโกนขึ้นว่า "เฮ้ ! พวกเจ้าผู้ชายอกสามศอกจะเอาแต่ดูข้าแสดงละครรึ? ยังไม่รีบเข้ามาช่วยกันอีก!"

สีหน้าของเฉินซ่าไร้ความรู้สึก แค่โบกมือให้สัญญาณ

พวกเฉิงสิบทั้งสามคนเหินกายลงจากหลังม้า พุ่งเข้าไปร่วมวงต่อสู้ทันที

ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้แรงกดดันของเด็กสาวทั้งสามลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเปิดโอกาสให้พวกนางได้พักหายใจหายคอ ผ่อนคลายลงไปได้มาก

เด็กสาวคนที่พูดเมื่อครู่สวมชุดสีเขียวใบหลิว ผมตรงช่วงขมับปักด้วยปิ่นระย้าประดับพลอยกับทับทิมเป็นแนวทแยง คิ้วตางดงามน่ามอง ดูแล้วอายุน่าจะเพิ่งราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปดเห็นจะได้

นางเหลือบมองเฉินซ่าแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา เผยให้เห็นรอยลักยิ้มตื้น ๆ สองรอย "เจ้าก็นิสัยไม่เลวนะ บอกให้ช่วยก็ช่วยจริง ๆ นี่! ข้าชื่อหยุนฉิงเอ๋อร์ เจ้าล่ะ?"

หยุน?

ก่อนหน้าที่หยุนโยวจะมาสวมแซ่โหล ก็น่าจะใช้แซ่หยุนด้วยเหมือนกัน

เฉินซ่าครุ่นคิดถึงจุดนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามเพื่อยืนยันหลักฐาน: "ตระกูลหยุนแห่งเผ่ามนต์ขาว?"

หยุนฉิงเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง: "ถูกต้อง พวกเจ้ามาจากเมืองชายแดนกันหรือ?"

นางมองเส้นทางที่พวกเขาเดินทางมา อันที่จริงการที่พวกเขามาที่นี่ ก็มีเพียงเมืองชายแดนเท่านั้นแล้ว ส่วนเรื่องของลัทธิสิ้นโลกีย์กับแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางนั้น พวกเขาต่างเชื่อว่าคงจะไม่มีใครไปมาหาสู่กันแน่ ก็เหมือนกับที่มีผู้คนมากมายในแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง ที่ไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่านอกแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง ยังมีแผ่นดินใหญ่หลงหยินอยู่ด้วยอะไรทำนองนี้

แต่คำกล่าวที่ว่าเมืองชายแดนกำเนิดสาวงามพวกนางต่างก็รู้จักดี เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะกำเนิดหนุ่มรูปงามด้วย ?

ผู้ชายคนนี้รูปงามเหลือเกินหนอ ทั้งสูงใหญ่ งามสง่า หล่อเหลาไปหมด

ในขณะที่หัวใจของสาวน้อยหยุนฉิงเอ๋อร์ลอยละล่องอยู่นั้นเอง คนที่เหลือต่างลงมือเข่นฆ่าสังหารกันสุดกำลัง เด็กสาวสองคนใช้น้ำยาละลายศพชนิดเดียวกันกับที่หยุนฉิงเอ๋อร์ใช้ เพื่อทำให้ศพละลายไปจนหมด

"กลับไปแล้วจำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างลูกนัยน์ตาเลยจริง ๆ นะนี่ น่าขยะแขยงแทบตายแล้ว" สาวน้อยอีกคนบ่นด้วยความรังเกียจ นางหันหน้าไปเห็นหยุนฉิงเอ๋อร์ที่กำลังคุยกับเฉินซ่าอยู่พอดี ก็หันไปมองหน้าประสานสายตากับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ที่ดูแล้วน่าจะแก่กว่าพวกนางนิดหน่อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ