ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 575

เฉินซ่าจูงมือโหลชีเดินออกจากประตูไปชนิดไม่มีการมองเหลียวหลัง เดินขึ้นรถไปทันที

อิงกับเยว่หันมามองหน้าประสานสายตากันแวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างยกยิ้มอย่างขมขื่น ยกมือขึ้นต่อยเข้าที่ไหล่ของอวิ๋นพร้อมกัน

"เจ้าหนูนี่นับว่าโชคดีนัก ได้ติดตามจักรพรรดิกับจักรพรรดินี" พวกเขาสองคน คนหนึ่งต้องไปราชวงศ์เฉิน ส่วนอีกคนต้องตามแกะรอยลัทธิสิ้นโลกีย์ ทั้งสองต่างไม่มีใครได้รับภารกิจง่าย ๆ สบาย ๆ เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ที่พวกเขาไล่ตามมา ก็เพราะอยากติดตามจักรพรรดิกับจักรพรรดินีไม่ใช่หรือ? การติดตามอยู่ข้างกายพวกเขาน่าตื่นเต้นกว่า ทั้งน่าสนุกกว่าตั้งเท่าไร

อวิ๋นก็ยกยิ้มอย่างขมขื่นด้วย : "พวกเจ้าช่างลงมือได้ไร้ความปราณีเสียจริง"

ต่อยเสียจนไหล่ทั้งสองข้างของเขาเจ็บแปลบแสบร้อนไปหมด

"เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?" เยว่เดินไปสองก้าว แล้วหันกลับมามองอวิ๋นแวบหนึ่ง

อวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ เข้าใจได้ทันทีว่าเขาถามถึงเรื่องอะไร ในสมองพลันผุดภาพใบหน้าที่เจ็บปวดกับแววตาที่สิ้นหวังของอามู่ จากนั้นเขาก็สะบัดหัวเพื่อสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากสมอง แต่ว่าในหัวใจกลับมีความรู้สึกโศกเศร้าน้อย ๆ ผุดขึ้นมาแทน

เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของเยว่ อวิ๋นก็ยิ้มน้อย ๆ: "ข้าไม่เป็นไร"

อิงตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วพูดว่า "จะเป็นอะไรได้ล่ะ? ลูกผู้ชายอกสามศอก ไม่มีทางปล่อยให้ความรักใคร่ผูกพันเพียงครั้งเดียวมาทำให้พังทลายได้หรอก ดูอย่างข้านี่! กินให้อิ่ม นอนให้หลับ อะไรทุกอย่างก็ดีหมด"

เยว่กับอวิ๋นประสานสายตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แล้วกำหมัดต่อยเข้าที่ไหล่ของอิงพร้อมกัน ต่อยจนร่างของเขาเอียงวูบ

"อย่างเจ้ามันเรียกว่าไม่ต้องมีเรื่องให้คิดไม่ตก" เยว่พูดหยอก

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมองออกในเรื่องที่ก่อนหน้านี้ อิงเคยมีความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้นในใจ แต่นั่นมันไม่เหมือนกับอวิ๋น เพราะอิงถือได้ว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิง ถ้าเขากล้ามีความคิดอื่นใดไปกว่านั้น จะไม่ถูกฝ่าบาทจับฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปหรอกรึ?

ยังดีที่อิงคิดออกจนได้

เมื่อพวกเขาลงไปที่ชั้นล่าง ฉินซูเป่าก็ได้จัดกำลังคนออกมายี่สิบกว่าคนภายใต้คำสั่งของเฉินซ่าเรียบร้อยแล้ว เฉิงสิบโหลวซิ่น เทียนยีตี้เอ้อร์ อิ้นเหยาเฟิงชิวชิ่นเซียน เสี่ยวโฉวเอ้อร์หลิง รวมถึงทหารกองราชาอสูรเทพอีกยี่สิบคน ให้ตามเฉินซ่ากับโหลชีออกเดินทางไปก่อน ส่วนคนที่เหลือต่างกำลังแบ่งกลุ่มเดินทาง

ผ่านไปไม่นาน เงาร่างสองร่างก็พุ่งถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว โหลฮ่วนเทียนที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ถึงกับหลุดปากสบถด่าออกมาว่า: "บัดซบ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าไอ้เด็กนั่นต้องไม่ได้มีเจตนาดีแน่!"

อิงถู ๆ จมูกก่อนจะถามขึ้นว่า "นายน้อยกับฉงอ๋องตัดสินแพ้ชนะกันได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวรึ?"

"จะไปตัดสินผลบ้าบออะไรได้ล่ะ!" ซวนหยวนฉงโจวก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน

"ข้าสู้ไปได้ครึ่งทางก็นึกรู้ขึ้นมาได้ว่าเฉินซ่าจะต้องเล่นลูกไม้อะไรแผลง ๆ แน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาช้าไปก้าวหนึ่งจนได้! พวกเขาไปทางไหนแล้วล่ะ?"

"พวกเราเองก็ไม่รู้เช่นกัน" ตอนที่พวกเราลงมาทุกคนก็ไปกันหมดแล้ว "จักรพรรดิให้พวกท่านทั้งสองกลับไปที่วังของราชวงศ์ซวนหยวนด้วยกัน"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหลฮ่วนเทียนก็โกรธจนขนทั่วร่างชี้ชันเลยทีเดียว

"เขาทำแบบนี้มันมีความหมายรึ? หรือกลัวว่าข้าจะแย่งภรรยาของเขาให้ได้?"

ฝ่ายซวนหยวนฉงโจวกลับเห็นว่าในเมื่อเป็นแบบนี้ไปแล้ว เห็นสภาพเขาที่โกรธจนขนชี้ชันก็รู้สึกแค่ว่ามันน่าขบขันสิ้นดี "พูดเสียเหมือนกับว่าเจ้าไม่ได้แย่งอย่างนั้นแหล่ะ เจ้ากับเสี่ยวชีโอบหลังโอบไหล่กันตลอด คิดหรือว่าในใจลูกพี่ลูกน้องอย่างข้าจะเป็นสุขน่ะหา?"

"หน้าไม่อาย รู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าสายสัมพันธ์พี่น้อง? ญาติสนิทน่ะ ญาติสนิทรู้จักหรือไม่!"

"พอที! เจ้ามีฐานะเป็นรัชทายาทของราชวงศ์ซวนหยวน อย่างไรเสีย เดิมทีก็สมควรต้องรีบกลับไปเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลย!" สีหน้าของซวนหยวนจื้อก็แย่มากเช่นกัน เขาเพิ่งจะรู้ว่าโหลชีกับเฉินซ่าชิงล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

อารมณ์ของซวนหยวนจื้อเวลานี้ซับซ้อนอย่างมาก อย่างแรกเป็นเพราะมีจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งให้นึกสะดุดในใจ แม้ว่าเขาจะคิดมาโดยตลอดว่าโหลชีเป็นตัวก่อหายนะ ทั้งยังไม่ชอบนาง แต่ลึก ๆ ในใจแล้ว เขายอมรับอยู่เสมอว่าโหลชีเป็นสมาชิกคนหนึ่งในราชวงศ์ซวนหยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้นางดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร ในใจเขาจึงเกิดมีความหวังริบหรี่ขึ้นมา เป็นความหวังที่อยากให้นางเกิดความรู้สึกรักใคร่หวงแหน รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของราชวงศ์ซวนหยวน ถึงขั้นที่เมื่อได้เห็นว่านางมีความสามารถ ก็หวังว่านางควรจะพาเฉินซ่ามาร่วมแรงกันจัดการกับปัญหาที่นางเป็นคนนำพามาเมื่อครั้งอดีต เพื่อเป็นการพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่ราชตระกูลซวนหยวน

แต่มาตอนนี้ หลังจากที่นางได้ยินข่าวของผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นฮองเฮาของราชวงศ์ซวนหยวน นางถึงกับไม่คิดจะรีบกลับไปที่เมืองหลวง เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด แต่กลับคิดจะเดินทางไปวังศุทธิเซียนก่อน

ช่างทำให้จิตใจสลดหดหู่เหลือเกินแล้ว

ว่าแต่ เจ้าสามไปอยู่เสียที่ไหนแล้วนะ?

......

กองทหารแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่พูดอะไรไปชั่วคราว

แต่หากจะพูดไป หลังจากเฉินซ่ากับโหลชีออกจากเมืองชายแดนมา ก็มุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางที่กู้เส่าอี๋ชี้บอกไปตลอดทาง

ในกลุ่มนี้ยกเว้นรถม้าของพวกเขาสามคัน ทุกคนในกลุ่มต่างก็ขี่ม้า

รถม้าของเฉินซ่ากับโหลชี รถม้าของพวกเสี่ยวโฉว กับรถม้าอีกคันหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสบียงอาหารและข้าวของเครื่องใช้ เฉินซ่ากับโหลชีไม่ได้นั่งอยู่บนรถม้าตลอดเวลา ตอนที่เยว่กับอิงตามมาถึงพวกเขาก็พาเฟยเหินรวมถึงท่าเสวี่ยมาด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่บนหลังม้า รีบเร่งเดินทางไปพร้อม ๆ กับทุกคน

หลังจากออกจากเมืองชายแดนไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม

สองข้างทางของถนนทั้งกว้างขวางราบเรียบ ใบเฟิงทั้งแดงทั้งเขียว ไม้ผลต่าง ๆ นา ๆ สารพัน ถูกถักทอเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่ด้วยพู่กันของธรรมชาติอันไพศาล ปลายฤดูใบไม้ร่วงมีพืชพรรณสีเขียวไม่มากนัก แต่ก็ยังเห็นความมีชีวิตชีวาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ผลไม้ป่าทั้งสีแดง เขียว และส้ม แขวนห้อยอยู่บนกิ่งก้านจนแน่นขนัด บางครั้งพวกเขายังได้กลิ่นหอมของผลไม้สุกระหว่างที่ควบม้าวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย

เส้นทางภูเขาที่อยู่ไกลออกไปมีทั้งสูงต่ำ มีหมอกปกคลุมรายล้อมอยู่รอบ ๆ ยอดเขา งดงามราวกับแดนสวรรค์

หากหยุดลงสักครู่ จะถึงกับเห็นปุยหางขนาดใหญ่ของกระรอกบินที่ร่อนไปมาอยู่เหนือกิ่งไม้ คว้าจับผลไม้ลูกหนึ่งไว้ในอุ้งเท้าอย่างมั่นเหมาะ

"แผ่นดินใหญ่หลงหยินอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งสมดั่งคำร่ำลือจริง ๆ แม้แต่ภูเขาที่ห่างไกลกลางป่าช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงก็ยังเต็มไปด้วยผลไม้สุกงอมหอมกรุ่น" เอ้อร์หลิงยกม่านขึ้นมองดูทิวทัศน์ภายนอก งดงามจนดูเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ

พูดจบกลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของเสี่ยวโฉว จึงหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เห็นแค่เสี่ยวโฉวจ้องมองไปข้างนอก ดูเหมือนใจลอยจนตกอยู่ในภวังค์ไปเรียบร้อยแล้ว

เอ้อร์หลิงยื่นมือออกไปแล้วโบก ๆ ตรงหน้า ถามขึ้นว่า "อาหญิงเสี่ยวโฉว กำลังคิดอะไรอยู่รึ?"

หลังจากเรียกเสี่ยวโฉวไปสองครั้ง นางถึงมีปฏิกริยาโต้ตอบ "หา มีอะไรรึ?"

"คิดอะไรอยู่รึ?"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ