ต่อให้พวกเขามีการเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ก็คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เท้าเพิ่งเหยียบแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งในบรรดาผู้คนนับพัน มีเพียงประมาณหนึ่งในสามเท่านั้นที่เป็นทหาร ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือเห็นได้ชัดว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา
"นี่พวกเรากลายเป็นหนอนแมลงชั่วช้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย?" โหลชีหันไปมองเฉินซ่า ชี้นิ้วมาที่ตัวเองก่อนจะชี้ไปที่เขา: "เจ้าไปทำมิดีมิร้ายภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าของใครอย่างนั้นหรือ?"
เฉินซ่าโน้มตัวเข้าไป ฟันขาวสะอาดเล็มไล้กัดเข้าไปเบา ๆ ที่นิ้วมือเรียวยาวขาวละเอียดของนาง กระซิบพูดเสียงแผ่วต่ำว่า "ข้าทำมิดีมิร้ายแค่กับภรรยาตัวเองเท่านั้นแหล่ะ ทั้งยังแต่งเข้ามาตั้งนานแล้วด้วย" อีกทั้งรสชาติของการทำมิดีมิร้ายยังหอมหวานยอดเยี่ยมนัก จนอยากจะทำมิดีมิร้ายทุกวันเลยด้วยซ้ำ
ภรรยาของคนอื่น? จะมีภรรยาของใครที่สวยไปกว่าของเขา ? จะมีภรรยาของใครที่ดีไปกว่าของเขา? จะมีภรรยาของใครที่....แค่ก ๆ .... ดุเดือดบ้าคลั่งจนทำให้เขารู้สึกสุดยอดได้ขนาดนั้นล่ะ?
"เฮ้! ข้าว่านะ เจ้าในตอนนี้กลายเป็นคนพูดมากน่ารำคาญไปแล้วรู้ตัวหรือไม่!" โหลชีเงื้อมือฟาดเข้าที่ไหล่ของเขาไปหนึ่งผั๊วะ
ที่นอกรถม้า เยว่กระโดดลงจากหลังม้าแล้ว ก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า: "ทุกท่าน โปรดใจเย็น ๆ กันหน่อย นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ ๆ พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย "
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดอย่างโกรธเคืองว่า: "มีอะไรให้เข้าใจผิด? ขบวนรถม้าก็เป็นลักษณะนี้ ทั้งยังมาจากทางนั้นเหมือนกัน ยังมีหน้ามาบอกด้วยว่าอีกสองวันคนอื่น ๆ ก็จะมาอีก ไม่ได้หมายถึงพวกเจ้าหรอกรึ? ยังจะพูดถึงใครได้อีก? ครั้งนี้พวกเราจะขอสู้จนตัวตาย ก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าสมดั่งใจหวังแน่!"
เยว่ขมวดคิ้วมุ่น "ก่อนหน้านี้ก็มีขบวนรถม้ามาที่นี่ด้วยอย่างนั้นรึ?"
"ยังมีหน้ามาเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้อีกรึ? ไอ้พวกสารเลวเอ๊ย!" ชายร่างสูงที่มีผ้าพันแผลพันรอบหน้าผากคนหนึ่งตะโกนลั่น แผลปริจนมีเลือดไหลออกมา สายตาที่มองดูพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง: "คืนน้องสาวของข้ามาเดี๋ยวนี้!"
ผู้คนนับพันต่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทำท่าเหมือนพร้อมจะพุ่งเข้ามาปะทะได้ทุกเมื่อ ทันใดนั้น ในรถม้าก็เกิดเสียงเป่านกหวีดแหลมปรี๊ดบาดหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ถึงกับทำให้ผู้คนนับพันที่อยู่ตรงนั้นทนไม่ไหวต้องยกมือขึ้นอุดหู รีบก้าวถอยหลังกลับไปหลายก้าวด้วยอาการตื่นตระหนกตกใจ
เสียงหวีดแหลมนั้นหยุดลง ทุกคนต่างก็มองไปที่รถม้าอย่างระแวดระวัง
ม่านถูกเปิดออก พวกเขาจึงได้เห็นชายหญิงที่ดูงามสง่าโดดเด่นคู่หนึ่ง ผู้ชายดูหล่อเหลาเย็นชา มีกลิ่นอายน่าที่เกรงขามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ผู้หญิงงดงามน่าทะนุถนอม มีดวงตาอ่อนหวานหยาดเยิ้มแลดูฉลาดหลักแหลม
พวกเขามองดูผู้ชายคนนั้นกระโดดลงจากรถ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ แต่ชั่วขณะที่ยื่นมือออกไปช่วยพยุงผู้หญิงคนนั้นลงจากรถ กลับดูอบอุ่นอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
เฉินซ่าจูงมือของโหลชี แล้วพาเดินช้า ๆ ไปหน้าขบวน
เยว่กับอิงก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ถอยไปจนไปอยู่ข้างหลังของทั้งคู่
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อครู่พวกเขายังร้องตะโกนอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นกันขนาดนั้นแท้ ๆ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายหญิงคู่นี้ พวกเขากลับไม่กล้าทำตัวโอหังอวดดีอีก
เฉินซ่ากวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ริมฝีปากบางเปิดขึ้นเล็กน้อย "พวกเจ้าอยากลองสู้กันสักตั้งอย่างนั้นสินะ?"
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกมา คนนับพันต่างพากันชักเท้าถอยหลังกลับไปทันที ล้อเล่นเถอะ! คนคนนี้ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้? ไม่ต้องพูดว่าสู้กันสักตั้งหรอก แค่ตอนนี้จะเรียกขวัญกำลังใจยังเรียกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
"เดิม... เดิมทีก็เป็นพวกเจ้านั่นล่ะที่ทำไม่ถูก แต่ไหนแต่ไรมาเมืองชายแดนก็มีสิทธิ์ปกครองดูแลตัวเองมาโดยตลอด เมื่อสามสิบปีก่อนรัชทายาทจ้าน ไม่สิ ! จักรพรรดิซวนหยวนก็ทรงมีรับสั่งลงมาแล้วว่า ไม่ว่าราชวงศ์ใด ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้กำลังยึดครองเมืองชายแดน ทั้งห้ามไม่ให้บุกโจมตีเมืองชายแดน ตอนนี้พวกเจ้ากำลังละเมิดข้อห้ามซึ่งเป็นราชโองการของจักรพรรดิซวนหยวนชัด ๆ ! ราชวงศ์ที่เป็นพันธมิตรล้วนสามารถประณามพวกเจ้าได้!" ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดอย่างโกรธเคือง
เฉินซ่าได้ยินดังนั้นก็หันไปมองโหลชีแวบหนึ่ง โหลฮ่วนเทียนก็ลงจากรถม้ามาแล้ว เดินขึ้นหน้าไปหยุดอยู่ข้าง ๆ พวกเขา "แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของราชวงศ์ซวนหยวน"
"ที่แห่งนี้เดิมทีก็เป็นอาณาเขตของราชวงศ์ซวนหยวน! พวกเจ้าอย่าคิดนะว่าพอไม่มีราชวงศ์ซวนหยวนแล้วจะรังแกพวกเราได้ง่าย ๆ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้รู้ไว้นะ ได้ยินมาว่าฮองเฮาทรงกลับมาแล้ว! ฮองเฮาทรงมีรับสั่งเป็นราชโองการลงมาแล้ว รัชทายาทก็จะทรงกลับมาเร็ว ๆ นี้แล้วเช่นกัน ราชวงศ์ซวนหยวนของพวกเราจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง! ไม่มีวันปล่อยให้พวกเจ้ามารังแกกันได้อีกต่อไป!"
โหลฮ่วนเทียนได้ยินดังนั้น ก็หันไปมองหน้าประสานสายตากับโหลชีแวบหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็หลุดอุทานด้วยความประหลาดใจว่า "ฮองเฮา? รัชทายาท?"
ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ซวนหยวน ก็ไม่ใช่หยุนโยวหรอกหรือ?
"รัชทายาท...." โหลชีชี้ไปที่โหลฮ่วนเทียน "พี่ชาย พี่ว่านั่นหมายถึงพี่หรือเปล่า?"
โหลฮ่วนเทียนส่ายหน้าเป็นพัลวัน ใครจะไปรู้ล่ะ?
ในเวลานี้เอง ซวนหยวนจื้อผู้ซึ่งเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ในรถมาโดยตลอดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระโดดลงจากรถม้า สาวเท้าก้าวยาว ๆ มาข้างหน้า พลางตะโกนถามอย่างโกรธเคืองว่า "ใครมันบังอาจรังแกประชาชนในราชวงศ์ซวนหยวนของข้า?"
"แล้วนี่เจ้าเป็นใครอีกล่ะ? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร? พวกเจ้าก็เป็นคนในราชวงศ์ซวนหยวนด้วยรึ?" ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจ้องมองซวนหยวนจื้อ ถามด้วยความสงสัยระแวดระวัง
"ข้าคือผู้มีฐานะเป็นไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์ซวนหยวน ซวนหยวนจื้อ!" ซวนหยวนจื้อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมหนักอึ้ง
"ไท่ซ่างหวง?" ทุกคนต่างพากันตกตะลึง แต่ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
"อย่าพูดเหลวไหลให้มันมากนัก ที่เจ้าพูดมาเมื่อครู่นี้มันหมายความว่าอย่างไร? อธิบายมาให้ข้าฟังชัด ๆ หน่อยซิ!"
พวกเฉินซ่าต่างพากันมองดูซวนหยวนจื้อ คิดไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้ ท่วงท่าบารมีของเขาจะนับได้ว่าแลดูสง่างามใช้ได้เลยทีเดียว
"ไท่ซ่างหวงทรงสวรรคตไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?"
"ฮองเฮาเสด็จกลับมาครั้งนี้ ทรงตรัสว่าในราชวงศ์เหลือเพียงพระนางกับองค์ชายรัชทายาทเท่านั้นแล้ว...."
โหลฮ่วนเทียนถูกซวนหยวนจื้อที่เวลานี้หน้าดำคล้ำไปทั้งหน้าลากตัวมาอย่างแรง "ดูซะ! นี่ต่างหากคือองค์ชายรัชทายาทของพวกเจ้า!"
เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้สนใจดูโหลฮ่วนเทียนให้ชัด ๆ แต่พอตอนนี้โหลฮ่วนเทียนถูกลากตัวมาอยู่ตรงหน้า จู่ ๆ บรรดาคนวัยกลางคนสี่ห้าคนในฝูงชนก็ร้องอุทานด้วยความตกใจว่า: "นี่.. นี่ช่าง... รูปร่างหน้าตาช่างเหมือนฝ่าบาทเหลือเกินแล้ว!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ