ไฟสงครามถูกจุดขึ้น แคว้นแทตย์มาอย่างดุดัน แคว้นแรกที่โดนเลือกคือราชวงศ์เฉินที่เหลือแค่ไท่ซ่างหวงแก่ชราคอยพยุงไว้เพียงลำพังเท่านั้น
ราชวงศ์ซวนหยวนเป็นแคว้นเพื่อนบ้านที่ดีกับราชวงศ์เฉินเสมอมา ต่อให้ตอนนั้นจักรพรรดิจักรพรรดินีของราชตระกูลเฉินและองค์ไท่จื่อจะหายสาบสูญไประหว่างทางที่ไปราชวงศ์ซวนหยวน แต่ความสัมพันธ์ของสองแคว้นยังไม่เคยล่มสลายแตกหักภายใต้ความพยายามของไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์เฉิน
"ราชวงศ์เฮ่อเหลียนออกคำสั่ง เปิดประตูแคว้นรับราษฎรของทั้งสองแคว้น"
"โหดร้ายไม่หวังดีแน่!" องครักษ์อวิ๋นได้ยินดังนั้นโกรธจัดตบโต๊ะผ่าง ราชวงศ์ซวนหยวนเป็นของจักรพรรดินี ราชวงศ์เฉินเป็นของฝ่าบาท พวกเขาย่อมมองในฐานะตัวแทนเจ้านายอยู่แล้ว
เพราะมีปลาดุกเทพ อาการบาดเจ็บของทุกคนก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง แม้แต่ซวนหยวนคงยังถอนหายใจกึ่งชมเชยความโชคดีของโหลชีไม่ได้ ของไม่ธรรมดาอย่างนี้นางกลับได้มาซะงั้น
"เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์เฮ่อเหลียนคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลืนกินสองแคว้น ราชวงศ์อื่นไม่มีท่าทีอะไรเลยรึ?" เฉิงสิบก็ถามเสียงขรึม
ได้เรียกคนที่เฝ้าระวังริมแม่น้ำกลับมาแล้ว จะตามหาโหลชีกับเฉินซ่ามันต้องใช้กำลังพลมหาศาลเลย ทุกคนโดนเรียกมาเสริมกำลัง เพียงแต่ก่อนเสริมกำลัง พวกเขาก็ได้รับข่าวเกี่ยวกับสงครามของทั้งสามแคว้นไม่หยุดไม่หย่อนเลย
ลู่ปินเจี๋ยบอก "ราชวงศ์อื่นล้วนแต่สนใจเรื่องตัวเองมาตลอด ครั้งนี้ดูท่าจะอยากลองดูสถานการณ์ก่อน ดูว่าจะสามารถทำตัวเป็นตาอยู่ได้หรือไม่"
อวิ๋นแค่นยิ้มเย็นว่า "คิดวางแผนกันมาดีจริงๆ"
"ทหารกองราชาอสูรเทพนับหมื่นไม่รู้ว่าจะมาทันเวลาหรือไม่" ยังมีพวกอ๋องฉง หากพวกเขามาทันเวลา ไท่ซ่างหวงตระกูลเฉินไม่แน่อาจจะพอผ่อนปรนหายใจได้บ้าง ไม่เช่นนั้นผู้เฒ่าที่ทำให้จักรพรรดิจักรพรรดินีคิดถึงอย่างน่าแปลกใจผู้นั้นคงต้องมาจบชีวิตในสงครามครั้งนี้แน่
"ข้าน้อยเป็นห่วงจักรพรรดิจักรพรรดินี" สายตาอิ้นเหยาเฟิงดูเหม่อลอย
ติดตามโหลชีมานานแล้ว ตอนนี้นางไม่อยู่ เหมือนขาดที่พึ่งทางใจไปเลย
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ พวกเจ้าวังศุทธิเซียนได้จัดวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว
ซวนหยวนคงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ "รีบไปตามหาชีชีเร็ว ถ้านังหนูนั่นหิวมาก อารมณ์จะยิ่งแย่หนัก"
เขาจำได้ถึงคำพูดตอนโหลชีใช้การควบคุมฝันพูดกับเขาได้
เจ้าวังศุทธิเซียนยืนอยู่ใจกลางค่ายกล เงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครั้ง
"เริ่มค่ายกลได้"
....
"ไท่ซ่างหวง ท่านพักผ่อนสักหน่อยเถิด?"
ฟ้าพึ่งจะเริ่มสว่าง ค่ายทหาร ในกระโจมที่พักแม่ทัพ ตะเกียงสามตัวพึ่งจะถูกจุดขึ้น จากนั้นรองแม่ทัพรีบเข้ามาช่วยประคองผู้เฒ่าที่พึ่งลุกขึ้นนั่ง
ผู้เฒ่าผมเผ้าขาวโพลน ผมที่รัดไว้ไม่ได้กระจัดกระจายเพราะนอนหลับ ใต้คิ้วกึ่งขาวกึ่งเทา ดวงตาคู่นั้นมีแววขุ่นมัวเล็กน้อย ในนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่ยังฝืนลุกขึ้น
แต่ก็สามารถมองออกว่า ผู้เฒ่าผู้นี้ตอนยังหนุ่มต้องเป็นผู้ชายสง่างามแน่ เพราะขนาดยามนี้ที่แก่ชราใกล้ตาย เขายังคงมีความสง่างามชนิดหนึ่ง เพียงแต่เขาผอมมากเกินไป ผอมจนเสื้อตัวในตัวเดียวยังหลวมโครกบนตัวเลย ทำให้คนรู้สึกปวดใจพิกล
"แค่กแค่ก" ไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์เฉินโบกมือ และไอออกมาอีกสองคำ ย่อเอวลงใส่รองเท้า แต่ในตอนที่ย่อเอวลงเขาพลันรู้สึกหน้ามืด ร่างโอนเอนเกือบล้มลง
รองแม่ทัพรีบเข้ามาพยุงเขา "ไท่ซ่างหวง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"
ไท่ซ่างหวงรอจนความหน้ามืดจางหายไป ถอนหายใจพลางว่า "มิเป็นไร" ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจเขากลับรู้สึกขมขื่นและกังวลใจนัก
ร่างกายของเขาตัวเขารู้ดี น่ากลัวจะต้องล้มลงบนสนามรบ เขาไม่กลัวตาย คนเราต้องตายอยู่แล้ว บวกกับหลายปีมานี้ร่างกายเขาพยุงมาถึงขีดสุดแล้ว สองสามปีก่อนเขาก็เตรียมใจไว้แล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเลยจริงๆ ในเวลานี้ข้าศึกมาประชิด ท่าทางดุดันนัก และในราชวงศ์กลับคนน้อยลงทุกที ไร้ผู้สืบทอด
หรือว่า ไม่เพียงแต่ลูกชายลูกสะใภ้หลานชายจะจากเขาไป ขนาดราชวงศ์ที่เขาเฝ้ารักษามาเกือบห้าสิบปีนี้จะต้องมาพ่ายแพ้ลงในมือเขาอีกรึ?
สวรรค์เอ๋ย ข้าแค้นใจนัก!
ไท่ซ่างหวงรู้สึกตาร้อนผ่าว ความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายได้พุ่งขึ้นมาเต็มหน้าอก ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
รองแม่ทัพย่อตัวลงไปช่วยเขาสวมรองเท้า ตอนลุกขึ้นเห็นผมขาวโพลนของไท่ซ่างหวง ในใจก็เจ็บปวดนัก ทั้งชีวิตไท่ซ่างหวงมีลูกชายแค่คนเดียว องค์ชายอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นจักรพรรดิที่สง่างามเกรียงไกร จักรพรรดิเองก็รักเดียวใจเดียว รักใคร่ปรองดองไม่ตบแต่งสนมใดนอกจากจักรพรรดินีเพียงผู้เดียว และมีลูกชายแค่คนเดียว
เดิมต่างมีความสุขนัก แต่ทั้งหมดกลับหายไปในพริบตาเดียว จักรพรรดิจักรพรรดินีและไท่จื่อหายสาบสูญไปแล้ว เพราะทนรับความสูญเสียไม่ได้ทำให้ไท่ซ่างหวงล้มป่วยไปพักหนึ่งเลยทีเดียว ช่วงนั้นได้แต่นอนบนเตียงทุกวัน ใช้ยาบำรุงร่างกาย เดิมคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่ราชวงศ์วุ่นวายใหญ่ อ๋องหลายคนอยากอาศัยโอกาสนี้มาตัดแบ่งราชวงศ์เฉิน ในยามสถานการณ์ผันผวนไม่แน่นอนนั้น ไท่ซ่างหวงก็ยืนหยัดขึ้นมา ใช้กำลังของคนเพียงคนเดียวพยุงราชวงศ์เอาไว้ แต่ร่างกายกลับไม่หายดีสักที
เหมือนเทียนไข บัดนี้ไหม้จนเหลือส่วนสุดท้ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าวันไหนไฟจะมอดลง บัดนี้ราชวงศ์เฉินต้องเผชิญกับพายุที่ใหญ่ที่สุดนับแต่ก่อตั้งแคว้นมา ขนาดเขาเองยังไม่รู้ว่าจะแบกมันได้ไหม
ถ้ากองทหารราชาอสูรเทพห้าหมื่นนายยังอยู่ ไม่แน่อาจมีหนทางชนะ
แต่ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังคงไร้ข่าวคราวของกองทหารราชาอสูรเทพห้าหมื่นนาย ดูท่าจะร้ายมากกว่าดี เพราะเรื่องนี้ แรงกดดันที่ไท่ซ่างหวงแบกรับจากเหล่าขุนนางและประชาชนใหญ่หลวงนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ