สรุปเนื้อหา บทที่ 619 บารมีอันยิ่งใหญ่ – ใต้ร่มยาใจ โดย ลิ่วเยว่
บท บทที่ 619 บารมีอันยิ่งใหญ่ ของ ใต้ร่มยาใจ ในหมวดนิยายประวัติศาสตร์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ไท่ซ่างหวงมองดูทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า น้ำตาไหลพรากออกมา
เขาใช้สองมือที่สั่นเทา ประคองพวกเขาด้วยมือคนละข้าง ประคองทั้งสองคนลุกขึ้นมา โหลชีถือโอกาสใช้สองนิ้ววางบนชีพจรของเขา
"ดี! ดี! ดี! กลับมาก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว!" ดวงตาของไท่ซ่างหวงพร่ามัวไปด้วยน้ำตา เกือบจะมองใบหน้าของทั้งสองคนไม่ชัด แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงอิทธิพลที่ทรงพลังอำนาจของพวกเขาสองคนได้อย่างชัดเจน ถึงแม้สองคนนี้ล้วนยังอายุน้อย แต่กลับทำให้คนไม่สามารถเพิกเฉยได้อย่างเด็ดขาด
"ท่านปู่ ยาเม็ดนี้ ขอท่านโปรดกลืนมันลงไปตอนนี้เลย" หลังจากที่โหลชีจับชีพจรเสร็จ ก็หยิบขวดออกมาจากเอวขวดหนึ่ง เทเม็ดยาสีแดงชาดออกมาหนึ่งเม็ด ทันทีที่ยาถูกเทออกมาจากขวด ก็ส่งกลิ่นหอมของยาที่แปลกประหลาดออกไป
ซวนหยวนฉงโจวก็อดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ว่า: "เสี่ยวชี ร่างกายของท่านตาอดทนจน......" แย่แล้ว แต่คำว่าแย่แล้วสองคำนี้สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดออกมา
โหลชียิ้มออกมาเล็กน้อย: "วางใจเถอะ มีข้าอยู่"
ได้ยินคำพูดนี้ ซวนหยวนฉงโจวก็รู้สึกสบายใจในทันที โหลชีบอกแล้วว่ามีความมั่นใจ เช่นนั้นก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน
"ได้ ปู่ฟังเจ้าหมดเลย" ไท่ซ่างหวงก็ไม่ถามว่านั่นคือยาอะไร รับมาก็ใส่เข้าไปในปากทันที แล้วก็กลืนลงไปในคราวเดียว รองแม่ทัพที่อยู่ด้านข้างรีบส่งกระติกน้ำทหารขึ้นมาทันที ให้เขาดื่มคำหนึ่ง
มือข้างหนึ่งของไท่ซ่างหวงจับเฉินซ่าเอาไว้แน่น อีกข้างหนึ่งก็จับโหลชีเอาไว้แน่น เดินไปถึงด้านในของหอคอยประสาท มองดูชาวบ้านที่อยู่ด้านล่าง กล่าวด้วยเสียงอันดังและมีพลัง: "ดูสิ ไท่จื่อราชตระกูลเฉินข้า! ไท่จือเฟยราชตระกูลเฉินข้า! พวกเขากลับมาแล้ว!"
พวกเขากลับมาแล้ว!
เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ขณะเดียวกัน ก็เปิดฉากการโหมโรงของมหาสงครามการตอบโต้ของราชวงศ์เฉินและราชวงศ์ซวนหยวน
อันดับแรกคือเผชิญหน้ากับแคว้นแทตย์ รองลงมาคือเผชิญหน้ากับราชวงศ์เฮ่อเหลียน ส่วนเรื่องที่สาม ทำให้ราชวงศ์อื่นๆยำเกรง
กองราชาอสูรเทพและทัพใหญ่ซวนหยวนอยู่ทัพหน้า เป็นกองหน้าให้กับทัพหลัก บางครั้งก็เสริมทัพใหญ่ที่มาจากแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกันกับที่ให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกฝนและลงสนามจริง ก็ถือว่าเติมเต็มตำแหน่งว่างจากการเหน็ดเหนื่อยของทั้งสองทัพใหญ่
เฉินซ่ากับโหลชีนำทัพด้วยตนเอง เยว่ อวิ๋น ซวนหยวนฉงโจวและคนอื่นๆก็ลงสนามรบด้วยตนเองเช่นกัน เฉิงสิบกับโหลวซิ่นและคนอื่นๆก็ยิ่งกล้าหาญชาญชัยไร้ที่เปรียบ
บวกกับโหลชีจะมียาแปลกๆค่ายกลแปลกๆออกมาเป็นระยะๆ หน่วยเล็กๆที่มากับทัพใหญ่ของแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางนั่นก็ถูกนางสอนด้วยตัวเอง กองกำลังปาฏิหาริย์กลวิธีแปลกประหลาด มักจะสามารถต่อสู้จนศัตรูพ่ายแพ้ยับเยิน และไม่มีเจตนารมณ์ในการต่อสู้อีก
และกองราชาอสูรเทพที่เฉินซ่าเป็นคนนำทัพกลับใช้การสังหารอย่างรุนแรงเป็นหลัก ภายใต้การนำทัพของเจ้าอาวุธทำลายล้างเฉิน กองราชาอสูรเทพแต่ละคนราวกับจิตวิญญาณนักรบร้อยค้อนเข้าสิง พลังที่ไม่สามารถต้านทานได้
บวกกับโหลชีเข้าใจจิตใจผู้คน เชี่ยวชาญในการเสริมสร้างขวัญกำลังใจ กดดันศัตรู สถานที่ที่สองทัพใหญ่ผ่านทาง "ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!" "ราชตระกูลเฉินและซวนหยวนต้องชนะ!" "ด้วยเลือดเนื้อของข้า สร้างการป้องกันชายแดนอันรุ่งเรืองของราชวงศ์ข้า!" เสียงตะโกนโห่ร้องดังสนั่นเช่นนี้ราวกับเสียงคลื่นในมหาสมุทร ลูกคลื่นลูกหนึ่งสูงกว่าอีกลูกหนึ่ง แค่บรรยากาศอันทรงพลังเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดกลัวแล้ว
ในสนามรบที่มีทหารหลายแสนนาย ทุกคนได้เห็นองค์หญิงน้อยที่กล้าหาญชาญชัย ไท่จื่อเฟยแห่งราชตระกูลเฉิน จักรพรรดินีแห่งต้าเซิ่งในชุดเกราะอ่อนสีเงินนั่งอยู่บนหลังม้า มือถือแส้สีดำยาว คิ้วที่ยกสูงและหยิ่งผยอง เสียงชัดเจนมีพลัง: "ไหนบอกว่าข้าคือหงส์ไม่ใช่หรือ? ไหนบอกว่าผู้ที่ได้ครอบครองหงส์จะเป็นผู้พิชิตใต้หล้าไม่ใช่หรือ? ยังมีปีศาจตนไหนที่หดหัวอยู่ในที่ลับไม่กล้าออกมาเจอคนอีก! พวกเจ้ามีปัญญาก็ออกมารบกัน! ออกมารบ!"
ด้านหลังของนาง กองทัพซวนหยวนสามแสนกว่านายกับทัพใหญ่ซื่อฟางคำรามตามขึ้นมา: "ออกมารบ!"
ท่ามกลางเปลวไฟแห่งสงคราม แสงดาบเงากระบี่ ใบหน้าที่สดใสงดงามของจักรพรรดินีสาวตราตรึงอยู่ในใจของคนนับไม่ถ้วน
เฉินซ่าที่อยู่ในสนามรบอีกแห่งหนึ่งหลังจากที่ได้รับข่าวแล้ว ในดวงตาที่ลึกล้ำมีประกายแห่งความเสน่หาคลั่งไคล้ที่มีต่อผู้หญิงของตนเองแวบผ่านไป หลังจากนั้นก็ใช้ชัยชนะครั้งใหญ่เป็นการตอบรับนาง
ทำสงครามต่อสู้กันครั้งหนึ่งก็เป็นสิบวัน ราชตระกูลเฉินกับซวนหยวนดำเนินการอย่างราบรื่นมาตลอดทาง ไม่มีสงครามใดที่ไม่ได้รับชัยชนะ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ชื่อเสียงและบารมีอันยิ่งใหญ่ของเฉินซ่ากับโหลชีทั้งสองคนนี้ไม่มีคนไม่รู้จัก ไม่มีคนไม่เคยได้ยินแล้ว
พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคนหลงหยินทุกคน ด้วยท่าทีที่ห้าวหาญดุดันอย่างแน่นอน
จนกระทั่ง โหลชีพบกับเฮ่อเหลียนเจี๋ยในสนามรบ
อ๋องจันทราที่เบื้องหน้ามีเพียงสายลมและแสงจันทร์เป็นสหาย ในใจหยิ่งผยองคนนั้นก็สวมชุดเกราะสีเงินเช่นเดียวกัน นำทัพใหญ่เฮ่อเหลียนกำลังเผชิญกับทัพใหญ่ของนาง
กองทัพทั้งสองเผชิญหน้า แม่ทัพทั้งสองเจอหน้ากัน
เฮ่อเหลียนเจี๋ยมองดูโหลชีผู้ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายเลยแม้แต่น้อย ในดวงตามีความเจ็บปวดแวบผ่านไปเล็กน้อย
เขาถามคำถามที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตนี้ออกมาประโยคหนึ่ง
"โหลชี ถ้าหากในตอนแรกเราไม่ได้เจอกันเช่นนี้ เจ้าจะพิจารณาการหมั้นหมายหรือไม่"
โหลชีคิดไม่ถึงว่าทันทีที่เอ่ยปากเขาจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา รู้สึกตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
นางมองพิจารณาเฮ่อเหลียนเจี๋ย พบว่าถึงแม้เขาจะผ่ายผอมไปเล็กน้อย แต่กลับมองไม่เห็นว่ามีมารร้ายในใจจริงๆ ตรงกันข้าม ทำให้คนรู้สึกว่าเคร่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อย อดที่จะชื่นชมเจตจำนงของคนคนนี้ขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าความหวังที่อยากจะให้เขาบ้าคลั่งของเฉินซ่าฉบับเด็กน้อยอ่อนหัดคงต้องผิดหวังแล้ว
"ข้าไม่เคยพิจารณาเชิงสมมุติฐาน" นางกล่าวตอบ
เฮ่อเหลียนเจี๋ยมองต่ำลงไปเล็กน้อย "เฉินซ่าชื่อเสียงไม่ดีมีมากกว่า มีอะไรดี? ถูกเลี้ยงดูในชนบท ไร้คนสั่งสอน มีเพียงความโหดร้ายทารุณ ผู้คล้อยตามเจริญรุ่งเรือง ผู้ต่อต้านตาย เป็นไปได้ที่เขาจะคุยเรื่องบทกวีชมจันทร์ ท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำกับเจ้าหรือ? หญิงสาว ไม่ได้ต้องการให้ปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนหรอกหรือ?"
สำหรับเฮ่อเหลียนเจี๋ยแล้ว เฉินซ่าก็คือคนหยาบคาย จอมเผด็จการคนหนึ่ง
บางทีในสายตาของคนมากมายต่างก็เป็นเช่นนั้น
อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ โหลชีกับเฉินซ่าอยู่ด้วยกันไม่เคยมีช่วงเวลารักๆใคร่ๆชวนรักชวนฝัน คุยกันเรื่องกวี ปรับทุกข์ของกันและกันใต้แสงจันทร์หน้าหมู่มวลผกาอย่างอ่อนโยน พวกเขาเผชิญหน้ากับภัยอันตรายร่วมกัน ร่วมเป็นร่วมตายกันมากกว่า
แต่ว่า โหลชีหัวเราะออกมา ราวกับเมฆกระจายดวงจันทร์ปรากฏ สดใสและงดงาม
ทุกคนที่อยู่รอบกายล้วนมีความรู้สึกเช่นนี้ จักรพรรดินียิ่งงดงามมากยิ่งขึ้นแล้ว
"ความจริง ข้าก็ท่องบทกวีไม่เป็นเช่นกัน......" นางหยุดไปครู่หนึ่ง กดเสียงให้ต่ำลง ดูเหมือนว่าจะกลัดกลุ้มเล็กน้อย เหมือนพึมพำกับตัวเอง "เฮ้อ แต่ก็ค่อนข้างประทับใจในบทกวีโป๊รักๆใคร่ๆ ในหนังสือภาพเล่มเล็กที่เคยอ่านในตอนนั้น แต่นี่ก็ไม่ดีที่จะท่องออกมา......"
"โหลชี ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน" เฮ่อเหลียนเจี๋ยกล่าว
โหลชีกลับไม่สนใจ "ต่างคนต่างก็มีบ้านเมือง ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าผิด!"
"พระมารดาของข้าอยู่ในมือของเฮ่อเหลียนหมิง พระมารดาของข้า สมัยนั้นเคยช่วยเสด็จแม่ของเจ้า ตอนนั้นเสด็จแม่ของเจ้ายังเคยให้ของแทนใจกับพระมารดาของข้า บอกว่าต่อไปในอนาคตสามารถใช้ของแทนใจนี้ ไม่ว่าจะมีข้อเรียกร้องอะไรนางก็น่าจะสามารถรับปากได้ทั้งนั้น ดังนั้น พระมารดาใช้ของแทนใจนี้เป็นหลักฐาน อยากจะให้ข้ากับเจ้าหมั้นหมายกันไว้ นางนึกว่าเสด็จแม่จะต้องตอบตกลงแน่นอน ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้าหมายปองเอาไว้คือเฉินซ่า"
เวลานี้เฮ่อเหลียนเจี๋ยถึงเพิ่งชี้แจงที่มาที่ไปของการหมั้นหมายที่เคยพูดก่อนหน้านี้ออกมาอย่างชัดเจน
แม่ทุกคนล้วนคิดว่าลูกของตนเองคือคนที่ดีที่สุด พระมารดาของเขาก็เช่นกัน มีคำมั่นสัญญาของหยุนโยวก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าลูกชายของตนเองใต้หล้านี้ไร้ผู้ใดเทียบได้ ดังนั้นพระมารดาของเขาคิดไปเองฝ่ายเดียวว่าการแต่งงานในครั้งนี้สามารถเป็นจริงได้ บอกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เขาคิดมาตลอดว่าตนเองมีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็กแล้ว ตอนที่ได้กระบี่อาวรณ์รักมาก็คิดอยากจะมอบให้คู่หมั้นตัวน้อยที่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
ที่เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพื่ออะไร เพียงแค่หวังว่าโหลชียินดีที่จะเห็นแก่ไมตรีจิตที่ดีงามนี้ นึกถึงพระมารดาของเขาหน่อย
ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรแล้ว จะเสียพระมารดาไปอีกไม่ได้เด็ดขาด
ถึงแม้จะพูดคุยกันไป การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนกลับไม่เคยหยุดนิ่ง
"พระมารดาของข้าอยู่ในมือเฮ่อเหลียนหมิง เขาสั่งให้ข้าชนะศึกในครั้งนี้ มิเช่นนั้นจะ......"
"เฮ่อเหลียนเจี๋ย" โหลชีฟาดแส้ลงไปบนไหล่ของเขา ตีเขาลงมาจากหลังม้า "หากข้าจะตอบแทนบุญคุณของพระมารดาเจ้าแทนแม่ของข้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบแทนด้วยการพ่ายแพ้ศึก เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือขวัญกำลังใจ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าราษฎรของราชวงศ์เฉินและราชวงศ์ซวนหยวนสองแคว้นล้วนกำลังมองดูอยู่? ใต้หล้าล้วนกำลังมองดูอยู่ เจ้าจะให้ข้าแพ้?"
นางไม่สามารถพ่ายแพ้ได้เลย และไม่อยากจะแพ้ด้วย
แต่ว่า หลังจากนั้นนางก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายทันที: "ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพระมารดาเจ้าได้ชั่วคราว ถ้าหากว่าเวลานี้นางยังสบายดีอยู่"
เฮ่อเหลียนเจี๋ยตอบสนองกลับมาในทันทีว่าความหมายที่นางพูดคืออะไร แต่มันก็สายเกินไปแล้ว โหลชีได้โรยผงยาลงมากำหนึ่งแล้ว
"เจ้าตามข้าไป หลังจากที่ข้าตีกองทัพเฮ่อเหลียนแตก และบุกตรงเข้าไปในวัง จะช่วยเจ้าตามหาพระมารดาของเจ้า!"
ก่อนที่จะหมดสติไป เฮ่อเหลียนเจี๋ยยังตะโกนออกมา: "ไม่ เจ้าเข้าไปในวังหลวงของเฮ่อเหลียนไม่ได้!"
"เพราะอะไร?"
โหลชีมองดูเขาอย่างจนใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฤทธิ์ยาของตนเองแรงเกินไป เห็นผลเร็วเกินไปแล้ว
"อ๋องจันทราถูกจับแล้ว พวกเจ้าจะสู้ต่อ หรือว่าจะยอมแพ้?" นางอยู่บนหลังม้า ตะโกนกล่าวเสียงดัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ