ในนี้มีเก็บปลอกคอของวู๊วูไว้
วู๊วูที่ใส่ปลอกคอแล้วกลับดูตื่นเต้นมาก กระโดดหมุนตัวอยู่บนรถไม่หยุด ทำให้โหลชีรู้สึกว่ามันเหมือนหมาที่โดนเลี้ยงไว้เลย
นางใจกระตุก กวักมือเรียกวู๊วู "มานี่ ถามหน่อย เจ้าของคนแรกของเจ้าคือใคร"
"วู๊วู" จิ้งจอกม่วงวู๊วูกะพริบตาแบ๊วปริบๆบอกว่าตนพูดไม่ได้
โหลชีคิดๆพลางถามอีก "ข้าพูดชื่อขึ้นมา ถ้าใช่เจ้าร้องสองที เข้าใจหรือไม่?"
"วู๊วู"
"ซวนหยวนจื้อ?"
วู๊วูส่ายหัว
โหลชีคิด นั่นไง บางทีซวนหยวนจื้อคงจะช่วยจิ้งจอกน้อยตัวนี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เคยเลี้ยงมันระยะหนึ่งกระมัง บอกว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้มาจากสำนักของเขา แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นสำนักของเขาเลี้ยงนี่นา จุดนี้เขาเองก็พูดไม่ชัดเจน
"ซวนหยวนจ้าน? ท่านแม่ข้า? ฮ่องเต้เฉิน? ฮองเฮาเฉิน?" เพราะปลอกคอของมันอยู่ในกล่องนี้ กุญแจก็เป็นสลักปลอดภัยสมัยเด็กของเฉินซ่าและปิ่นระย้าหงส์เจ็ดสีของนาง ดังนั้นโหลชีเลยเดาถึงสี่คนนี้ก่อน
แต่วู๊วูยังคงส่ายหัวดุกดิก
"คนของวังศุทธิเซียน?" เฉินซ่าเสนอตัวเลือกให้อีกหนึ่ง แต่วู๊วูยังคงส่ายหัว มันพิงเท้าโหลชี กะพริบตาใส่นางอีก
โหลชีขมวดคิ้วถาม "หมายความว่ายังไง? เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับข้า?"
"วู๊วู!วู๊วู!"
จิ้งจอกม่วงวู๊วูตอนนี้พยักหน้าละ
"คนที่เกี่ยวข้องกับข้า ยังมีใครอีกล่ะ?" โหลชีสบตากับเฉินซ่า และคิดถึงคนๆหนึ่งพร้อมกัน
"ท่านตา?"
"วู๊วู!วู๊วู!"
วู๊วูร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมาอีก และใช้หัวถูไถเท้าโหลชีอีก
โหลชีรู้สึกเหลือเชื่อมาก เฉินซ่ามองนาง เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูด "ในเมื่อเจ้าตัวน้อยนี่ท่านตาเจ้าเป็นคนเลี้ยง ย่อมต้องคุ้มครองคนตระกูลซวนหยวนอยู่แล้ว ถึงมันจะเคยติดตามซวนหยวนจื้อกับท่านพ่อตา แต่ก็ไม่ได้อยู่กับพวกเขาตลอด แต่กลับไม่ยอมห่างเจ้าไปไหน นี่เท่ากับเป็นการบอกแล้วมิใช่รึว่า บางทีเจ้าอาจจะเหมือนท่านตาเจ้า ไม่นิสัยก็อารมณ์"
จิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงเป็นจิ้งจอกที่เฉลียวฉลาดขนาดนี้ มันจะเลือกนายด้วยตัวเอง มันไม่มีทางยอมศิโรราบติดตามโหลชีอย่างไม่มีเหตุผลแน่ แน่นอน โหลชีมีเสน่ห์ของนางเอง แต่หากมิใช่เพราะตอนแรกนางทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัย และยังชอบอีก มันจะยอมตามนางไปได้ยังไง?
โหลชีก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
"น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสได้เจอท่านตา" เวลานี้นางรู้สึกเสียใจและเคว้งคว้างพอดู เฉินซ่าหิ้วจิ้งจอกม่วงขึ้นมา โยนใส่มุมรถม้า ตนเองยื่นมือไปโอบโหลชีเข้าอ้อมกอด ลูบไหล่นางอย่างอ่อนโยน ปลอบว่า "เขาต้องชอบเจ้าแน่ และต้องรักเจ้ามากแน่"
ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางยอมเสียสละตนเองมาช่วยนางแน่
"ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ข้ารู้สึกผิดต่อเขานี่นา ทั้งๆที่เขาทำเพื่อข้ามากมาย แต่ข้ากลับพึ่งรู้ถึงการมีตัวตนของเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองยังมีท่านตา"
เฉินซ่ารู้สึกว่านางอ่อนแอลง เขาไม่ใช่คนที่ปลอบคนอื่นเก่งเสียด้วย ภายใต้ความทำอะไรไม่ถูก สองมือเขาประคองใบหน้านาง จุมพิตลงริมฝีปากนางไป เดิมคิดจะปลอบโยนด้วยจุมพิตเท่านั้น ไหนเลยจะคิด พอสัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มงดงามของนางเข้า ไฟในร่างเขาก็จุดพรึบติดขึ้นมาทันที
"ชีชี พวกเราไม่ได้...มาครึ่งเดือนกว่าแล้วนะ" เสียงเขาแหบพร่าเล็กน้อยแล้ว
โหลชีรู้สึกหน่ายใจฉับพลัน เปลี่ยนหัวเรื่องยังไงนี่? เปลี่ยนเร็วจนนางตามไม่ทันเลยเชียว! แต่ในใจนางกลับอ่อนยวบ สำหรับฝ่าบาทเฉินซ่าที่เป็นปีศาจสายเนื้อแล้ว สามารถทนมาได้ครึ่งเดือนกว่าไม่มีเนื้อให้กินเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าเก่งมากแล้ว
"ท่านเบาหน่อยละกัน..."
พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ เฉินซ่าดีใจยิ่งนัก ยังนึกว่านางจะปฏิเสธเสียอีก!
แต่ที่ไหนได้ เขาพึ่งยื่นมือออกไปจะแกะสายรัดเอวนาง ก็ได้ยินเสียงร้องของอินทรีที่ดังใสแต่มีพลังเต็มเปี่ยมดังจากท้องฟ้า นั่นเป็นเสียงร้องของราชันอินทรีเขาหิมะ
ด้านนอก เสียงเฉิงสิบดังขึ้นว่า "จักรพรรดิจักรพรรดินี เจ้าขาวดูไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่"
เฉินซ่าหน้าดำมืดทันที
โหลชีก็ดึงเสื้อผ้ากลับที่ให้เรียบร้อยอย่างกระดากใจ นางจัดผมเผ้าให้เรียบร้อย ก่อนก้มหัวเหล่มองบางที่ของฝ่าบาท แค่กแค่ก ลั่นกลองรบ พร้อมเดินทัพจริงนะ!
"รออีกเดี๋ยวท่านค่อยออกมาเถอะ"
โหลชีออกไปก็ทนไม่ไหวปิดปากแอบขำอีก เฉินซ่าเหล่นางอย่างเจ็บใจ กัดฟันบอก "คืนนี้จะให้เจ้าร้องไห้เลยทีเดียว"
"ลามก โรคจิต" โหลชีสบถออกมา ออกจากรถม้าไป
เจ้าขาวโผบินลงมาจากท้องฟ้าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
โหลชีขมวดคิ้วมองท้องฟ้า พลางตกใจมาก เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ ท้องฟ้าเหมือนมีรอยแตกสีดำเทาเส้นหนึ่ง กำลังคืบคลานมาทางนี้
ในป่าลึกเหล่าสัตว์ป่าพากันร้องระงม ฝูงนกบินว่อน แต่ก็เหมือนกำลังตกใจ เลยรีบลงมาข้างล่างกันหมด
หิมะหยุดตกแล้ว ความกดอากาศต่ำเล็กน้อย รอยแยกที่ขอบฟ้านั่นพลันรวมตัวหนาแน่นราวหมอกหนา เหมือนจะมีสัตว์ประหลาดอะไรกำลังกัดท้องฟ้าจะออกมาอย่างนั้น
กองทัพหยุดลงมองขอบฟ้าแล้ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
"นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ?"
"สวรรค์พิโรธ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ