"ท่านตาอาวุโส ที่นี่คือที่ไหนกันน่ะ? ทำไมข้ามาที่นี่ได้?"
"ที่นี่เหรอ ที่นี่คือหลงหยินไง" น้ำเสียงมีเมตตาแต่แหบพร่าชรา
"โกหก หลงหยินไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย ที่นั่นมีภูเขามีน้ำมีต้นไม้ใหญ่และยังมีดอกไม้ที่สวยงาม ยังมีนกน้อยผีเสื้อ ที่นี่เหลืองกร้านเต็มไปหมด ไม่มีอะไรเลย ไม่สนุก ไม่สวย"
"ใช่ ใช่ ไม่สนุก และไม่สวย ที่นี่กับแผ่นดินใหญ่หลงหยินแต่เดิมของเจ้าน่ะ ไม่ใช่ที่เดียวกัน แต่ก็ถือเป็นที่เดียวกันแหละ ห่างกันไม่ไกล เจ้าต้องเอาแต่เล่นสนุกเลยหล่นมาที่นี่แน่"
"ท่านตาอาวุโส ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้เอาแต่เล่นสนุกด้วย"
"นังหนู เจ้าไม่เอาแต่เล่นสนุกแล้ววิญญาณจะไม่มั่นคงจนโดนคนอื่นแย่งได้ยังไงล่ะ? เอาล่ะ อย่าถามให้มากความเลย อยู่รักษาตัวกับตาอาวุโสที่นี่ หายดีแล้วก็รีบกลับไป มิเช่นนั้นพ่อแม่เจ้าคงเป็นกังวลแล้วล่ะ"
"แต่ข้าจะกลับไปอย่างไรล่ะ?"
"วิญญาณแข็งแกร่งแล้วก็กลับไปได้ไง เอาชนะคนเลวที่แย่งร่างเจ้าไป มา ตามมานั่งสมาธิกับท่านตาอาวุโสนี่"
ในที่สุดโหลชีก็เดินถึงชั้นบนสุด รอบด้านเป็นพื้นเรียบ รอบด้านเป็นเสากลม รอบด้านไร้กำแพง บนพื้นแผ่นหินเย็นชืด แต่เรียบลื่นนัก
บนนั้นมีคนเฒ่าหนึ่งคนและเด็กหนึ่งคนนั่งขัดสมาธิอยู่
คนแก่ผมขาวใบหน้าขาวในชุดขาว ดูแก่ชรา คนตัวเล็กก็ตัวน้อยหนึ่ง ใส่ชุดกระโปรงสีชมพู ดวงตากลมโตคู่หนึ่ง ร่างกายดูไม่เหมือนร่างจริง ไหวเอนประดุจเงาร่าง
นั่นคือนาง
นางในตอนเด็ก
โหลชีพึมพำออกมา "ท่านตาอาวุโส..."
ที่แท้ ผู้หญิงบ้าคนนั้นย้อนเวลามาอยู่ในตัวนาง และแย่งวิญญาณนางไป นางมายังที่นี่ นางในตอนเด็กมีหรือจะมีหนทางกลับไปแย่งร่างคืน? ความจริงคือนางมานั่งฝึกสมาธิกับท่านตาอาวุโสที่นี่ทุกวัน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับวิญญาณและจิต
ตอนนั้นสาเหตุที่ท่านตาอาวุโสนำคนในครอบครัวที่หลงหยิน คิดอยากหาที่นี่ โลกของพวกเขาเสื่อมโทรมไร้ชีวิตชีวา เพราะชีวิตของพวกเขามาถึงขั้นหนักหนาแล้ว
แหล่งน้ำล้ำค่ามาก มีองครักษ์คอยเฝ้า ทุกคนจะได้รับแบ่งทุกวันวันละนิด อาหารเองก็ล้ำค่ามาก ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้หรือว่าเนื้อ ล้วนแต่น้อยนัก
อาหารหลักของพวกเขาคือรากไม้รากหญ้าที่ฝังลึกอยู่ในดินพวกนั้น เอามาบดให้ละเอียด แล้วรวมเข้ากับเมล็ดพืชชนิดหนึ่งที่หนักหนาทนทานมาก
แต่ที่น่าแปลกคือ ไอคิวของคนที่นี่สูงนัก ถ้าเอามาดูในยุคปัจจุบัน ล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งนั้น
คนพวกนั้นที่ฉลาดที่สุดรวมตัวกัน เลือกหัวหน้ากลุ่ม พยายามวิจัยเหตุผลที่สภาพแวดล้อมของหลงหยินกลายมาเป็นอย่างนี้คืออะไร จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร
พวกเขาค้นพบห้วงเวลาบิดเบี้ยวโดยบังเอิญ ครั้งแรกตกใจยิ่งนัก พวกเขาเจอทิวทัศน์ของภูเขาลำน้ำของอีกแผ่นดินใหญ่หลงหยินหนึ่ง ที่ซึ่งมีแต่ความเขียวขจีเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ต่อมาในการวิจัยหลายปีก็มีโอกาสอีกหลายครั้งที่ได้เห็นภูเขาลำน้ำของแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง นั่นเป็นอีกดินแดนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก การที่บอกว่าอยู่ไม่ไกลนัก เป็นเพราะว่าช่องว่างของเวลาทำให้พวกเขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างโลกทั้งสองขวางกั้นเพียงนิดเดียวเท่านั้น ขอเพียงหาจุดนั้นที่อ่อนแอมากที่สุด ขอเพียงหาสื่อวัสดุชนิดหนึ่งได้ พวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายของจากโลกทางนั้นมาได้ทีละเล็กทีละน้อย
อย่างเช่น ลำน้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ ธัญพืช
แน่นอน พวกเขาเคยลองแล้ว อยากจะไปจากหลงหยินนี้เลย ไปยังโลกที่มีชีวิตชีวาแห่งนั้น แต่คนที่อาสาออกไปสำรวจล้วนตายหมดติดกันสองครั้ง พวกเขาก็ไม่กล้าทดลองอีก
ต่อมา ก็มีท่านตาของนาง เพียงคนเดียวที่ไปกลับมาอย่างปลอดภัย
เพื่อคนในเผ่า เขาจำเป็นต้องพูดเรื่องทุกเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นมาจากทางนั้น เขาบอกหมด ยกเว้นเรื่องที่ได้เจอสตรีผู้หนึ่ง และมีลูกกับนาง
ความฝันกลับเปลี่ยนไป
ที่แหล่งน้ำแห่งหนึ่ง
น้ำใสเคลื่อนตัวเล็กน้อย แต่ ที่นี่เป็นแค่ทะเลสาบเล็กๆแห่งหนึ่ง จากตะไคร้สีเขียวอ่อนบนก้อนหินริมขอบสามารถมองเห็นได้ว่า ระดับน้ำลดลงไปมาก
บุรุษผู้หน้าตาหล่อเหลาถือหญ้าต้นหนึ่งที่แห้งเหือดไว้ในมือนั่งอยู่ริมน้ำด้วยสายตาเหม่อลอย
"ท่านตาท่านตา!" ชีชีตัวกลมกระโดดโผเข้าหาเขา
"เสี่ยวชี จำไว้นะ เวลามีคนอื่นอยู่ด้วยห้ามเรียกข้าว่าท่านตา"
"ทำไมล่ะ?"
"เพราะ...ใจคนน่ะสิ"
เพราะคนเรามันละโมบ พวกเขาพยายามเพื่อคนรุ่นหลัง อยากจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด หาวิธีแก้ไขเจอ เดิมแค่อยากให้คนในเผ่ามีกินมีใช้เท่านั้นเอง แต่พอได้ฟังคำบรรยายของเขาเกี่ยวกับความกว้างขวางของแผ่นดินทางนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุต่างๆ ความงดงามของแผ่นดินหลังจากกลับมา เริ่มมีบางคนคิดต่าง
ที่นั่นควรจะเป็นของพวกเขา
แผ่นดินที่งดงาม ควรจะเป็นของพวกเขา!
มีการถกเถียงก็จะมีการแตกแยก คนเหล่านั้นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งตัดสินใจไม่ทำร้ายคนไม่เข้าไปรุกรานโลกนั้น และทางที่ดีที่สุดก็อย่าให้พวกเขารู้ถึงการคงอยู่ของหลงหยินทางนี้ ทุกคนรักษาสมดุลเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างไม่เป็นไร พวกเขาเพียงแค่ต้องการ "ยืม" เมล็ดพันธุ์ของพืชและลำน้ำภูเขามาสักหน่อยก็พอแล้ว
อีกฝ่ายกลับกำลังคิดวิจัยสสารพิเศษมาตลอดอย่างลับๆ
"นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวชนิดหนึ่ง ถ้าวิจัยสำเร็จล่ะก็ ทั้งสองฝ่ายต้องวุ่นวายยกใหญ่แน่"
"ท่านตา นั่นคืออะไรหรอ? กินได้หรือไม่?"
"ฮะฮะ เด็กโง่ของข้า รู้จักแต่กินนะ กินไม่ได้หรอก ตาจะบอกเจ้าให้ ต่อไปหากเจอกับสิ่งนั้นเข้า เจ้าอย่าได้ไปแตะต้องเชียวนะ ถ้าไม่ระวังไปแตะต้องเข้าแล้วหนีไม่รอด ก็..."
พอพูดถึงตรงนี้ โหลชีพลันรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัวนาง นางกำลังจะตื่นขึ้นมา โหลชีร้อนใจทันที พยายามจะเข้าสู่ความฝันนั้นต่อ ฟังคำพูดนั้นให้จบ มันเป็นคำที่สำคัญที่สุด สำคัญที่สุดนะ!
แต่ความฝันของนาง นางกลับควบคุมไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ