คืนนี้ เฉินซ่านอนหลับสนิทดีมาก ถึงเขาจะได้หลับสบายหลังจากหลับกับโหลชีแล้ว แต่คืนนี้ดีเป็นพิเศษ ดียิ่งกว่าคืนไหน ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่า ในที่สุดก็มีคนฟังเรื่องราวในอดีตของเขาซะที เป็นครั้งแรกที่ได้พูดมากขนาดนี้ หรือเพราะประโยคนั้นที่นางหลับตาพูดกับเขาแผ่วเบาหลังจากที่เขาเล่าเรื่องจบแล้ว ในยามเข้านอน นางพลันหันมาเข้าสู่อ้อมกอดเขาก่อนเป็นครั้งแรก
เฉินซ่า ข้าจะมิให้ท่านตายเด็ดขาด
ความทรงจำที่ห่างไกลที่สุดและเป็นความทรงจำที่จารึกที่สุดของเขา คือตอนที่มารดาถูกกระบี่แหลมคมแทงเข้าหน้าอก ชายผู้นั้นดึงกระบี่ออกมา และแทงเข้าไปใหม่อีกครั้งและร้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวว่า "ไปตายซะเถิด ตายซะ มันดีกว่าข้าตรงไหน เหตุใดจึงแต่งงานกับมัน เจ้าตายซะ ตายซะ เดรัจฉานนั่นของพวกเจ้าข้าก็จะให้มันตาย ให้มันตาย!"
ตอนนั้นเขาพึ่งห้าขวบ
เขารู้ว่าเดรัจฉานที่ชายผู้นั้นพูดหมายถึงตัวเขา ชายผู้นั้นต้องการให้เขาตาย
ต่อมาเขาได้รับการเลี้ยงดูจากนายพราน อันที่จริงเป็นเวลาเพียงแค่สองปี สองปีนั้น ภรรยาของนายพรานด่าทอเขายามเขากินข้าวทุกครั้งว่า กินเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่จุกท้องแตกตายไปเลย
ต่อมา นายพรานตายเพราะเขา ภรรยาของนายพรานพาคนที่ไล่ล่าเขามาหาเขาถึงที่ นางร้องโหยหวน รีบฆ่ามันสิ ฆ่ามันเลย!"
ต่อมาที่เขาเฉินอวิ๋น ตอนนั้นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์เขามองเขาอย่างเคียดแค้นพลางว่า เห็นแก่หน้าอวิ๋นเอ๋อร์ ข้าจะลงมือกับเจ้าแค่สามฝ่ามือ หากเจ้าสามารถรับฝ่ามือทั้งสามของข้าได้และไม่ตาย บัญชีนี้ก็จบกัน ข้าจะไม่ถือสาโทษที่เจ้าขโมยสมบัติอีก เจ้าก็จะไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของเขาเฉินอวิ๋นข้าอีก
จากนั้นก็ซัดฝ่ามือใส่เขาสามครั้งจนตกหน้าผา
รอดตายมาได้ เขายังไม่ถึงฆาต
หลายปีหลังจากนั้นเขาก็ทำการแย่งชิงชีวิตตัวเองกับยมบาล หลายครั้งที่เขาคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว แม้กระทั่งตอนกู่ปลิดชีพกำเริบครั้งก่อน เขารู้สึกตนเองเกือบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขารู้สึกมาตลอดเวลาว่า เขาต้องตายแน่ ไม่ตายแบบถึงอายุขัยแบบดีๆ ก็ตายแบบอุบัติเหตุ ไม่ตายเพราะพิษกำเริบ ก็ตายเพราะพิษกู่กำเริบ อันที่จริงเขาแค่ไม่อยากยอมรับ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับ ยังไงซะชีวิตเขาก็คือชีวิตเขา
แต่ตอนนี้กลับมีคนพูดอย่างมั่นใจกับเขาว่า เฉินซ่า ข้าจะไม่ให้ท่านตายหรอก
วินาทีนั้นเขาพลันรู้สึกว่า มีคนให้ความสำคัญกับชีวิตของเขา
นับจากนี้ชีวิตเขาไม่ได้เป็นเพียงของเขาคนเดียว เขายังต้องมีชีวิตเพื่อนางด้วย เพื่อนาง
มันเป็นความรู้สึกเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ยากจะอธิบายได้
ความรู้สึกชนิดนี้มันช่างดีมากจริงๆ
ฟ้ายังไม่สว่างเลยตามโรงเตี๊ยมยังจุดตะเกียงสีเหลืองอ่อนอยู่ หนุ่มคนงานที่ฟุบหลับบนโต๊ะโดนปลุกขึ้น เขาขยี้ตามองกลุ่มที่มากะทันหันนี่ พริบตาเดียวก็ตื่นแล้ว
"นายท่าน พวกนายออกเดินทางกันเช้าเยี่ยงนี้เลย?"
"ใช่ พี่ ขอบใจกับการต้อนรับนะ"
แม่นางเพียงหนึ่งเดียวในขบวนนี้ยิ้มร่าขอบใจเขา หัวใจของคนงานพองโตไม่ได้ พวกเขาเป็นคนงานรับใช้มา ใครเลยจะเคยสนใจพวกเขากัน? นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดขอบใจเขา!
ชายหนุ่มคนงานยิ้มส่งพวกเขาไปที่ประตู มองท่าทีสง่างดงามขึ้นขี่ม้าตัวนั้นของนาง อดเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาไม่ได้ แม่นางอรชรคนนี้ขี่ม้าเป็นด้วย ก็ว่าอยู่ แม่นางดุร้ายคนนั้นเมื่อคืนยังอยากซื้อม้าของนาง หาเรื่องกันชัดๆ
พอคิดถึงตรงนี้ หนุ่มคนงานตบหัวดังผ่าง! แม่นางคนนั้นยังกำชับเขาว่า หากคนพวกนี้จะจากไปให้รีบแจ้งนาง! เหตุใดเขาจึงลืมไปได้นี่!
ด้วยความกลัวแม่นางผู้นั้นจะมาอาละวาดที่โรงเตี๊ยม ชายหนุ่มคนงานรีบไปเคาะห้องนาง
"อยากตายรึ?" จิ่งหยาวที่โดนปลุกแต่เช้าเยี่ยงนี้เปิดประตูออกโดยแรงด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง ยกกระบี่พาดคอชายหนุ่มคนงานทันที
ชายหนุ่มตกใจตัวสั่นเทา "คือ คือ ข้าน้อย..."
"เจ้าน่ะบ้าหรือไร?" เมื่อวานจิ่งหยาวโกรธจัด ทนเก็บจนนอนไม่หลับ กว่าจะได้หลับก็ดันมาโดนปลุก อารมณ์เลยไม่ดีอยู่แล้ว
"แม่นางจิ่ง ท่านบอกมิใช่รึ หากแขกห้องเทียนนั่นจะจากไปให้บอกท่านน่ะ?" ชายหนุ่มคนงานบ่นในใจ ดุร้ายเยี่ยงนี้ มิน่านายท่านท่านนั้นมิต้องการเจ้า! ดูแม่นางที่อยู่ข้างกายเขาผู้นั้นสิ ยิ้มแย้มใจดีเพียงไร!
โหลชีที่อยู่บนหลังม้าพลันฮัดเช้ยออกมา "ใครนินทาฉันเนี่ย"
พอจิ่งหยาวได้ยินก็ร้อนรนขึ้นมาทันที "พวกเขาจะจากไปแล้ว?"
"แม่นาง มิใช่จะจากไปแล้ว หากแต่ไปแล้ว"
"ไปแล้ว?" จิ่งหยาวกัดฟันกรอด ผลักเขากระเด็น หมุนตัวกลับเข้าห้องเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและผลุนผลันออกไป คนคนนั้นต้องไปทุ่งน้ำแข็งแน่ นางแอบหนีออกมาเอง มีแค่คนเดียว ย่อมต้องตามเขาไปอยู่แล้ว ต่อให้มิสามารถไปด้วยได้ นางตามติดขบวนไปคงได้กระมัง
น่าเสียดายที่การไล่ตามครั้งนี้ของจิ่งหยาวคือขี่ม้าไล่ตามไม่หยุดพัก หากยังมิอาจได้เห็นแม้แต่ก้นม้าของพวกเขาเลย
นางเองมิคิดเลยว่า ม้าของเฉินซ่า โหลชีและองครักษ์เยว่เป็นม้าเหงื่อโลหิตชั้นดีเยี่ยม และม้าขององครักษ์ยี่สิบนายนั่นก็เป็นรองแต่เพียงม้าเหงื่อโลหิตเท่านั้น มีหรือที่ม้าธรรมดาที่นางซื้อจากภายนอกมาจะตามทันได้
พวกเฉินซ่าเดินทางด้วยความเร็วระดับกองทหาร และไม่รู้ว่าด้านหลังมีจิ่งหยาวไล่ตามเขาจนแทบกระอักเลือด มีโหลชีนึกถึงคนคนนี้ขึ้นมาได้ แต่นางขี้เกียจเสียเวลาด้วย วิ่งได้เร็วแค่ไหนก็แค่นั้น
หลายวันต่อมา คนเดินถนนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และพากันมุ่งตรงไปยังทางเดียวกัน ทุกคนต่างรู้แก่ใจดี เวลานี้ทุกคนล้วนเป็นศัตรู เป็นคู่แข่งกัน ระแวดระวังกันยังไม่ทัน ไม่มีใครคิดจะไปคุยกับใครหรือว่าขอให้ร่วมเดินทางด้วยกันหรอก ทุ่งน้ำแข็งใหญ่ขนาดนั้น เดินทางเองล้วนอาศัยโชคของแต่ละคนได้ ถ้าร่วมเดินทางด้วยกันก็พูดยากละ
พวกเฉินซ่าถึงจะมีคนจำนวนมาก แต่ระหว่างทางมิใช่มีแต่พวกเขาที่มีจำนวนมาก บวกกับระหว่างเดินทางพวกเขาจงใจเก็บซ่อนราศีประจำตัว เวลามีคนอยู่มาก เฉินซ่าจะนั่งในรถม้า ดังนั้นเลยไม่มีใครรู้ฐานะของเขา พูดตามจริง ถึงเฉินซ่าจะชื่อเสียงโด่งดังมากในปีนี้ แต่คนที่เคยเจอเขากลับน้อยนัก ทำให้ไม่ง่ายนักที่คนจะรู้ฐานะเขา
ส่วนโหลชียิ่งไม่มีใครรู้จักใหญ่เลย นอกจากจะเป็นคนที่เคยมาร่วมพิธีคัดเลือกพระสนมที่ตำหนักจิ่วเซียวในครั้งก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ