ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 88

คุยกันอยู่นาน นางเพียงรู้สึกว่ารูปร่างก้อนเมฆเหล่านั้นน่ารัก! ใช้สิ่งนี้มาตัดสินทิศทางที่พวกเขาควรจะไป มันไม่ดูเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไร? ต้องรู้ไว้ พวกเราต้องการไปตามหาไขหินพันปีและจิ้งจกน้ำแข็งนะ! มิได้ไปเล่น! ทุ่งน้ำแข็งนี้กว้างใหญ่เพียงนั้น เดินไปทางหนึ่ง หากผิดพลาดไปและต้องการเปลี่ยนทิศไม่รู้ต้องเสียเวลาไปนานเท่าใด

"แม่นางโหล ลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่?" องครักษ์คนหนึ่งทนไม่ไหวพูดออกมา

โหลชีหันไปมองเฉินซ่า เฉินซ่าตบเฟยเหินเบาๆ "ไป"

เขาควบม้าไปทางที่โหลชีชี้ไป ไม่มีสงสัยหรือลังเลแม้แต่น้อย นางบอกให้ไป เขาก็ไป

มุมปากโหลชีเผยรอยยิ้มออกมา พลางถามพวกเขา "พวกเจ้ามีใครได้ข่าวใดบ้างว่ารู้ว่าของสิ่งนั้นปรากฏที่ทิศทางใด? เห็นผู้คนมากมายมุ่งตรงไปทิศทางเดียวกันหรือไม่?" ถามจบ นางกระแอมไอ และควบม้าไล่ตามเฉินซ่าไป

เยว่มองตามแผ่นหลังพวกเขาไปพลางยิ้มน้อยๆ ใครต่างไม่รู้ทิศทางที่แน่นอนของไขหินพันปี ไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆเลย พอทุกคนเข้าไปยังทุ่งน้ำแข็งล้วนแต่หาทิศทางด้วยตัวเอง พวกเขาจะมาคาดหวังให้นางชี้ทิศทางที่เชื่อถือได้ออกมาได้อย่างไรกัน?

ดูแต่ดวงโชคของแต่ละคน

"ไป!"

กองม้ายี่สิบกว่าตัวพากันวิ่งมุ่งไปทางทุ่งน้ำแข็ง ฝีเท้าม้าวิ่งผ่านเกล็ดน้ำแข็งสีขาวฟุ้งกระจาย ประหนึ่งไอหมอกสีขาวสายหนึ่ง

ทุ่งน้ำแข็งเป็นดินแดนที่ราบขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะน้ำแข็งจำนวนมาก ดูราบเรียบ ครั้งแรกที่เห็นทุ่งน้ำแข็ง จะตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่กว้างขวางของมัน และรู้สึกว่าทัศนียภาพน่าหลงใหลนัก แต่ความนิ่งของทุ่งน้ำแข็งบวกกับพืชพันธุ์ขาดแคลนทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บและโดดเดี่ยวมาก มีสมญานามว่าทุ่งป่าเถื่อนหนาวเย็น

สำหรับพวกเขาแล้วอันตรายอย่างหนึ่งคือขี่ม้าไปในทุ่งน้ำแข็งอาจจะละเลยพื้นที่น้ำแข็งลื่นง่ายเหล่านั้น หากม้าลื่นสะดุดอาจจะทำให้ตกลงมาเจ็บหนักได้ พวกเขาเดินทางด้วยกันหลายคน ยิ่งกลัวเรื่องนี้ หากมีคนตกหลังม้า แล้วคนด้านหลังหยุดไม่ทัน เหยียบอีกฝ่ายทั้งคนทั้งม้าไปจะยิ่งแย่หนัก

ดังนั้นพอพวกเขาเข้าขอบเขตรอบนอกทุ่งน้ำแข็งแล้วความเร็วจึงลดลงไป ส่วนใหญ่คือจูงม้าเดิน

"ทุ่งน้ำแข็งสิบแปดถ้ำ ไม่มีรูปถ้ำน้ำแข็งหรือไง?" หลังจากหาอยู่นานโหลชีทนไม่ไหวบ่นออกมา

"ถ้ามีของอย่างนั้น ทุกคนคงพุ่งไปที่ทั้งสิบแปดถ้ำนั่นแล้ว อย่างน้อยยังมีเป้าหมายสิบแปดแห่ง มีหรือจะต้องมาหาอย่างไร้เป้าหมายอย่างตอนนี้" เยว่พูดอย่างเหนื่อยใจ "ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำน้ำแข็งทั้งสิบแปดแห่งนั่นอยู่ที่ใดกันแน่"

เพราะไขหินพันปีอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ดังนั้นพวกเขาต้องหาถ้ำน้ำแข็งก่อน แต่ทุ่งน้ำแข็งที่มองไปแล้วไร้จุดสิ้นสุดแบบนี้ มีแต่สีขาวเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นแร่หินสีเทาเข้มหรือสีน้ำตาลโผล่ออกมาประปราย หรือไม่ก็พืชพันธุ์ที่ใกล้จะแห้งเหี่ยวตายมานานแล้ว ดวงตาเริ่มล้าแล้ว

"ถ้าอย่างนั้นปัญหามาละ ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำน้ำแข็งอยู่ที่ไหน ทำไมถึงรู้ว่าเป็นสิบแปดแห่งล่ะ?" โหลชีแสดงออกถึงความสงสัย

เยว่อึ้ง จริงด้วย พวกเขารู้เรื่องทุ่งน้ำแข็งสิบแปดถ้ำมาตลอด แต่ไม่มีใครเคยถามว่า ทำไมถึงมีถ้ำน้ำแข็งสิบแปดที่ ทำไมถึงสิบแปด ใครสรุปจำนวนออกมา หรือว่าอีกฝ่ายเดินไปทั่วทุ่งน้ำแข็งแล้ว ไปมาหมดทุกถ้ำน้ำแข็งแล้วหรอ?

เฉินซ่าเห็นว่าคำถามเดียวของนางก็ทำเยว่มึนงง อดยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ได้ "ทุ่งน้ำแข็งสิบแปดถ้ำ บันทึกเรื่องราวจากหนังสือไร้ชื่อเล่มหนึ่ง และไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้เขียน ในนั้นเป็นเรื่องราวดินแดนบางอย่าง แต่ขาดไปมากแล้ว นักปราชญ์คนหนึ่งของตงชิงตอนนั้นประกาศเนื้อหาที่เหลืออยู่ในนั้นออกมา หนึ่งในนั้นมีคำว่าทุ่งน้ำแข็งสิบแปดถ้ำนี้ แต่หลายปีมานี้ก็มิมีผู้ใดมายืนยัน ได้แต่เล่าลือต่อๆกันมาเยี่ยงนี้"

"นายท่าน ท่านช่างรอบรู้ยิ่ง" โหลชีกอดแขนเขาและชมเชยอย่างไม่ลังเลเลย

พวกเขาเองก็พบว่ามีหลายคนตามพวกเขามาเงียบเชียบ ไม่มีการกระทำน่าสงสัยอันใด แค่ตามติดมาตลอดๆ และหาถ้ำน้ำแข็งในบริเวณรอบๆ อาจเพราะเห็นพวกเขาคนมาก ดูแล้วน่าจะเก่งกาจ โอกาสในการหาถ้ำน้ำแข็งเจอมีค่อนข้างมาก เลยอยากจะตามติดมาเผื่อจะได้ผลพลอยได้อะไรบางอย่าง หลังจากหาถ้ำน้ำแข็งเจอแล้วพวกเขาตามเขาไป ใครจะรู้ว่าถ้ำน้ำแข็งจะใหญ่มหาศาลขนาดนี้?

พวกเยว่ก็ไม่ได้ไปไล่ ทุ่งน้ำแข็งมิใช่ของพวกเขา หากอีกฝ่ายบอกว่าอยากจะเดินทางนี้ก็ฟังขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพรุ่งนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ พวกเขาไม่อยากสร้างเรื่อง วันขึ้นสิบห้าค่ำวันนี้ต้องให้แน่ใจว่าโหลชีจะอยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอดเวลา ไม่ห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว หากหาเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเขาไม่แน่ว่าจะสู้แล้วแพ้ แต่ถ้าเกิดทำให้โหลชีกับฝ่าบาทแยกจากกันขึ้นมาจะลำบาก ที่นี่คือตงชิง ทางทุ่งน้ำแข็งนั้นก็เป็นเป่ยชาง และตอนนี้เฉินซ่ากลับพาคนมาแค่ยี่สิบสองคน

กลางคืนมาถึงเร็วมาก กลางคืนของทุ่งน้ำแข็งหนาวเย็นกว่าที่คิดไว้มากนัก โชคดีที่พวกเขาเตรียมตัวมา แต่ละคนใส่ผ้าคลุมหนาๆหนึ่งตัว ของพวกองครักษ์ส่วนใหญ่เป็นขนกระต่ายหรือขนจิ้งจอก เป็นสีเทาและสีน้ำตาลซะส่วนมาก ของเยว่เป็นผ้าคลุมขนพังพอนสีขาวบริสุทธิ์ หลังจากคลุมลงไปยิ่งทำให้ผิวเขาสะอาดนวลดุจพระจันทร์ ราศีอบอุ่น ของเฉินซ่าเป็นผ้าคลุมขนพังพอนสีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ตามที่พวกเขาว่า ของพวกนี้ทำมาจากขนพังพอนที่พวกเขาเคยล่ามาเมื่อก่อนและเก็บรักษาไว้

ของสิ่งนี้บางครั้งมิใช่มีเงินก็จะซื้อได้ ต่อให้ทำเองก็ต้องหาขนสัตว์ที่เหมาะสมมา ต้องเป็นขนสะอาดใสส่องแสงและสีสันสวยงาม ยิ่งหายากยิ่ง เหมือนกับชุดนั้นของโหลชี ก่อนออกเดินทางเป็นขนจิ้งจอกที่เฉินซ่าไปล่าเพื่อนางที่ทุ่งป่าเถื่อนของพั้วอวี้ด้วยตัวเองเลยทีเดียว เอ้อร์หลิงช่วยนางตัดเย็บออกมา

ตอนนั้นเฉินซ่ายังหน้าทะมึนเพราะไม่ค่อยพอใจ บอกกับนางว่าเวลาเร่งรีบเกินไป เขาหาจิ้งจอกแดงที่ล้ำค่าไม่ได้ มิเช่นนั้นจะได้ทำผ้าคลุมจิ้งจอกแดงให้นาง เรื่องนี้เก็บไว้ในใจเขามาตลอด มาทุ่งน้ำแข็งครั้งนี้ เฉินซ่าเคยบอกแล้วว่า เขาจะล่าจิ้งจอกเงินชั้นเลิศของทุ่งน้ำแข็ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ