บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 188

“ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าเพียงผืนเดียว จะนับว่าเป็นหลักฐานได้อย่างไรกัน? ช่างน่าขันยิ่งนัก!”

นางเสิ่นพลันมองไปที่เซี่ยซือห้าว พร้อมทั้งยิ้มเยาะออกมา เสมือนกับนางเดาได้ว่าเซี่ยซือห้าวมิได้มีหลักฐานชิ้นอื่นอีกแล้ว จึงได้นำผ้าเช็ดหน้ามาประสมประเสให้ครบจำนวนเช่นนี้“ท่านป้าสะใภ้รอง นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของพี่รองจริงๆเจ้าค่ะ ด้านบนมีชื่อของนางปักอยู่”เย่จายซิงที่นั่งอยู่ข้างกัน พลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยเมื่อได้ยินเสียงของนางนั้น เซี่ยซือห้าวพลันหันขวับในทันทีเสียงนี้ เหตุใดช่างคุ้นหูนัก!อีกทั้ง นางยังเรียกนางเสิ่นว่าป้าสะใภ้รองอีก หรือว่า นางคือเย่จายซิง?บนใบหน้าของเซี่ยซือห้าวพลันปรากฏคำว่าไม่น่าเชื่อเอาไว้ในทันที ยามที่เขาเดินเข้ามานั้น เขาก็ได้สะดุดตากับนางแล้ว อีกทั้งนางยังรูปร่างงดงามอีกด้วย งามเสียจนเย่เจียหยูสองพี่น้องคู่นั้นมิอาจนำมาเปรียบได้อีก หากเป็นบุรุษละก็ อย่างไรก็ไม่อาจไม่มองไปที่นางได้ในที่แรกเขายังรู้สึกสงสัยอยู่เลย เหตุใดสตรีนางนี้ถึงดูคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนักหากแต่เขามิคิดเลยว่า นางคือสตรีอัปลักษณ์เย่จายซิง!แล้วปานแดงเปื้อนใหญ่บนใบหน้าของนางเล่า? หายไปไหนแล้วล่ะ?ยามรักษาจนปานแดงหายไปแล้ว นางงดงามถึงเพียงนี้เลยหรือ? !ภายในใจของเซี่ยซือห้าวพลันแปลกใจและรู้สึกตื่นเต้นไปในคราเดียวกัน อีกทั้งเขายังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจปะปนไปกับความรู้สึกผิดอีกด้วยในยามนั้น เย่จายซิงหลงรักเขาเพียงข้างเดียว ถ้าหากในครานั้น ทั้งเขาและนางได้อยู่ด้วยหันแล้วละก็ คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาใช่หรือไม่?เย่จายซิงที่งดงามถึงเพียงนี้ ขอเพียงเขาได้มองทุกวันย่อมไม่มีทางรู้สึกเบื่อหน่าย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีทางไปมองเย่เจียหยูที่หน้าตาดาษดื่นเป็นแน่!ในใจของเซี่ยซือห้าวในยามนี้กำลังตบตีกันเป็นพลันวัน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเย่เจียหยูจึงดังขึ้นมา“ไม่! นั่นมิใช่ผ้าเช็ดหน้าของข้า! ต้องเป็นของปลอมที่เขาทำขึ้นมาแน่!”

“ใบทะเบียนสมรสพวกเจ้าก็หาว่าเป็นของปลอม แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าที่เจ้าลงมือปักด้วยตนเอง เจ้ายังกล้าบอกว่าเป็นของปลอมอีกหรือ!”เซี่ยซือห้าวรู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับแบผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดในมือออกมาแล้วจึงกล่าวด้วยท่าทีเกลียดแค้นว่า“แต่เลือดของเจ้า เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่เลือดของเจ้าเองใช่หรือไม่! นี่เป็นหยดเลือดหยวนหยินที่เจ้ากับข้ามีความสุขด้วยกันในคืนนั้นอย่างไรล่ะ ข้าเก็บมันไว้อย่างดีเชียว !”

เมื่อเซี่ยซือห้าวพูดจบนั้น ทุกคนที่อยู่โดยรอบพลันตกตะลึงไปในทันทีผู้ใดก็ไม่มีใครคาดคิดว่า ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดนั้น จะเป็นหยดเลือดหยวนหยินของเย่เจียหยู!หยดเลือดหยวนหยิน ก็คือหยดเลือดพรหมจรรย์หยวนหยินของสตรีที่เป็นผู้ฝึกตนนั้น นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากว่าสตรีผู้ฝึกตนมีร่างกายที่เหมาะกับเป็นเตาหลอมแล้วไซร้ หยดเลือกหยวนหยินยังสามารถเป็นช่วยเสริมพลังปราณภายในให้กับบุรุษได้ดีอีกด้วยในปัจจุบันนี้เลือดพรหมจรรย์ของสตรีถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากในยาที่แต่งงานกันไปแล้วนั้น ผู้เป็นสามีไม่พบเจอเลือดพรหมจรรย์แล้วละก็ ฝ่ายสามีสามารถทำการหย่าร้างสตรีได้เช่นเดียวกันทุกคนจึงเบนสายตาไปทางเย่เจียหยูไปในทันที พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นเหน็บแนมมากมาย“ไม่! นั่นไม่ใช่เลือดของข้า ผู้ใดจะไปรู้กัน เจ้าอาจจะเอาเลือดอะไรมาเช็ดบนผ้าเช็ดหน้าก็เป็นได้!”สีหน้าของเย่เจียหยูพลันซีดลงไปในทันที พร้อมกับรีบร้อนแก้ตัวเป็นพลันวัน

“แม้เจ้าจะปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์ ขอเพียงใต้เท้านำไปตรวจสอบดู ย่อมรับรู้ได้ไม่ยากว่าใช่เลือดของเจ้าหรือไม่”เซี่ยซือห้าวพลันยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา“นำหลักฐานขึ้นมา”ท่านจ้าวนครกล่าวท่านผู้เฒ่าจึงได้นำถาดไม้ลงไป พร้อมด้วยเซี่ยซือห้าวที่นำผ้าเช็ดหน้าวางไว้บนนั้นเย่เจียหรงพลันกำหมัดในมือแน่น สีหน้าพลางมืดครึ้มลงไปหลายส่วน พร้อมทั้งหันไปมองเย่เจียหยู ด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง ต้องโทษที่เย่เจียหยูไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับนาง“จำเลยเจาะเลือดออกมาหนึ่งหยด”ท่านจ้าวนครชี้ไปที่เย่เจียหยูท่านผู้เฒ่าจึงได้เดินเข้าไปหาเย่เจียหยูพลันทำท่าทีอืดอาดยืดยาดออกมาครู่หนึ่ง พร้อมกับยื่นมือที่เจาะเลือดเสร็จแล้วไปให้เพียงแค่หยดเลือกปรากฏออกมานั้น ผู้คนที่อยู่โดยรอบพลันรับรู้ได้ในทันทีว่า หยดเลือดที่อยู่บนผ้าเช็ดหน้าเป็นเลือดของเย่เจียหยูอย่างแน่นอน พลังปราณที่อยู่ในนั้นล้วนเหมือนกันทุกอย่าง ผู้ที่ฝึกตนเพียงแค่ได้มองย่อมแยกออกได้ในทันที“เฮอะเฮอะ ไม่คิดเลยว่า! แม้แต่หยดเลือดพรหมจรรย์ยังมอบให้เขาไปแล้ว ตนเองยังกล้าที่จะหนีงานแต่งอีก หากมิพูดว่านางเป็นสตรีใจง่าย เช่นนั้นจะให้เรียกว่าเช่นไรดี”

“ทุ้ย! ช่างทำให้สตรีเช่นพวกข้าขายหน้าอย่างแท้จริง!”“บางที แท้จริงแล้วนางอาจจะเป็นสตรีหลายใจก็เป็นได้ ผู้ที่ได้ร่วมหลับนอนกับนางย่อมมิได้มีเพียงบุรุษผู้นี้เป็นแน่ !”ทุกคนพลันหันมาชี้หน้าชี้ตาใส่เย่เจียหยูด้วยท่าทีดูถูกดูแคลนมือทั้งสองข้างของเย่เจียหยุได้แต่กำหมัดแน่น พลันสัมผัสได้ถึงไอสังหารบางๆในทันที เมื่อหันกลับไปมอง พลันเห็นเป็นซุนหยวนชิ่งที่กำลังจ้องมองมาที่นางด้วยสายตาอาฆาต“ท่านพี่ซุน ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ ท่านฟังคำอธิบายของข้าก่อน ข้า…..”เมื่อเย่เจียหรงเห็นท่าทีที่หมดหวังของเย่เจียหยูนั้น ก็มิสนใจสิ่งใด พลันให้ไปกล่าวกับท่านจ้าวนครด้วยท่าทีคิ้วขมวด“ใต้เท้าเจ้าคะ แม้ว่าเลือดจะเหมือนกันก็จริง แต่นั่นมิได้หมายความว่านั่นจะเป็นเลือดหยวนหยินนะเจ้าคะ น้องสาวของข้า แต่เล็กจนโตรู้จักการวางตัวต่อบุรุษเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้จักรักษาชื่อเสียงของตนเอาไว้ด้วย อาจจะเป็นเพราะว่า น้องสาวของข้ามิได้ชมชอบเซี่ยซือห้าว ทว่า นางก็ไม่อาจขัดขืนเขาได้ เป็นไปได้ว่าในยามนั้นน้องสาวของข้าได้รับบาดเจ็บ เลือดจึงได้ถูกคนวิปลาสเช่นเซี่ยซือห้าวเก็บไปเป็นแน่ ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้”

เย่เจียหยูราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้จริงๆ จึงรับร้อนพูดสมทบออกมา“ใช่ใช่ใช่! ต้องเป็นเช่นนี้แน่! ข้ายังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ เลือดหยวนหยินข้าก็ยังอยู่เช่นกัน ข้ามิคิดเลยว่าเขาจะเอาเลือดของข้าไปเช่นนี้ ใต้เท้าเองก็รู้ ผู้ฝึกตนมักจะได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ! แต่ข้ามิเคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนวิปลาสเช่นนี้ได้! ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านต้องจับเขาไว้นะเจ้าคะ มิเช่นนั้น เขาจักต้องมาตามราวีข้าอย่างแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของซุนหยวนชิ่งพลันอ่อนลงไปในทันที พร้อมทั้งเริ่มที่เชื่อใจในคำพูดของสองพี่น้องขึ้นมาบ้างแล้วหากแต่ผู้คนที่อยู่ภายนอกในยามนี้ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะเชื่อถือผู้ใดดี“เจ้าน่ะสิ ที่พูดจาเหลวไหล! เย่เจียหยู ยามที่เจ้าอยู่บนเตียงข้า เอาแต่พร่ำบอกว่าอยากได้หินทิพย์เป็นกี่แสนล้านก้อนนั้น เจ้าหาได้มีท่าทีเช่นนี้ไม่! พวกเจ้าพี่น้องสองคนช่างแสดงงิ้วได้ดียิ่งนักหากมิใช่ว่าข้ารู้จักใบหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้าแล้ว วันนี้ข้าคงโดนพวกเจ้าหลอกลวงไปแล้ว!”เซี่ยซือห้าวพลันกัดฟันกล่าวออกมา“ข้าไปหลอกเอาหินทิพย์เจ้าเมื่อใดกัน ข้ามิเคยเลย ข้าในยามนี้เป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงแล้ว ขอเพียงแค่ข้าฝึกปรือปรุงโอสถออกมาขาย ข้าย่อมไม่ขาดแคลนหินทิพย์”เย่เจียหยูยังคงเล่นลิ้น“หากเจ้ายังไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้ายังมีพยาน!”

จู่ๆ เซี่ยซือห้าวพลันพูดขึ้นมา พร้อมกับมองไปที่ท่านจ้าวนคร ราวกับจะเป็นการถามว่า เขาสามารถพาพยานเข้ามาได้หรือไม่ท่านจ้าวนครจึงพยักหน้าเป็นเชิงตกลง สายตาพลันจับจ้องไปยังใบหน้าของคนทั้งสองและมิได้เอ่ยอะไรออกมาเขามีพยานได้อย่างไรกัน?เย่เจียหยูพลันตื่นตระหนกไปในทันที พร้อมกับจับจ้องไปยังหน้าประตูเมื่อเห็นรถเข็นที่กำลังเข็นบุคคลที่นั่งอยู่เข้ามานั้น อาภรณ์พลันเปรอะเปื้อนไปทั่วตัว ผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิงจนไม่อาจเห็นใบหน้าที่ชัดเจนได้ยามที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความสงสัยนั้น หญิงชราพลันเงยหน้าขึ้นมาจากนั้นก็สางผมเผ้าของตนเอง ทั้งยังมองไปยังเย่เจ๋อหย่งและนางเสิ่นทั้งสองคน พร้อมกับลุกขึ้นมาจากรถเข็นเพื่อด่ากราดในทันที“พวกเจ้าสองคนไม่ตายดีแน่! ถึงได้กล้าขโมยเงินสินสอดทองหมั้นของจวนแม่ทัพหนีมาเช่นนี้ แม้แต่มารดาเช่นข้า พวกเจ้ายังกล้าทิ้งเอาไว้ไม่คิดมาดูดำดูดีอีก พวกเจ้ามันจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งยังเนรคุณเกินเยียวยาแล้ว!”“มารดา?”เมื่อเย่เจ๋อหยงได้ยินน้ำเสียงนั้น ทั่วร่างพลันตกตะลึงไปในทันที มารดาที่พวกเขาถึงเอาไว้ที่แคว้นหงส์แดงเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้!สีหน้าของนางเสิ่นพลันแข็งค้างไปในทันที พร้อมทั้งเผลอก้าวถอยหลังไปหลายก้าวคำพูดของหญิงชราเป็นคำไหนคำนั้น ศักดิ์ศรีนางยังคงมีอยู่ หากแต่ผู้คนในตระกูลของนางได้พากันลอบขายทรัพย์สินและแอบพากันหนีมาเงียบเช่นนี้ เมื่อได้เห็นมารดาของตนเองมายืนอยู่ตรงหน้า ย่อมต้องพากันร้อนใจจนไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้“อะไรกัน? ท่านผู้เฒ่านางนี้ ดูอย่างไรก็สกปรกคล้ายกับขอทานก็ไม่ปาน ยางเป็นมารดาของสองคนนี้เช่นนั้นหรือ!”“แม้แต่มารดาของตนเองยังกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว คนในครอบครัวนี้ต้องเป็นปัญหาเป็นแน่!”“ขโมยสินสอดพากันหนีมาเช่นนี้ แม้แต่ท่านผู้เฒ่าในตระกูลก็ยังกล้าละทิ้งไม่ดูดำดูดี ช่าง ช่าง เนรคุณยิ่งนัก!”เย่เจียหรงรีบร้อนวิ่งเข้าไปหาในทันที พร้อมกับกอบกุมมือของหญิงชราเอาไว้ พลางร่ำไห้ออกมาด้วยท่าทีน่าสงสารเสียจับใจ“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านสบายดีหรือไม่? ต้องเป็นเซี่ยซือห้าวที่ข่มขู่ท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ ระหว่างทางที่มาท่านย่าต้องลำบากมากแน่ ท่านย่าสบายใจได้นะเจ้าคะ มีใต้เท้าอยุ่ที่แล้ว ท่านมิจำเป็นต้องกลัวเซี่ยซือห้าวอีกต่อไป ต่อไปท่านก็จักได้อยู่ในเฉินตู พวกข้าจะคอยดูแลท่านเองเจ้าค่ะ”หากแต่หญิงชรากลับสะบัดมือนางทิ้งไปในทันที“เจ้าคิดว่าหญิงแก่เช่นข้าไม่รู้งั้นหรือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นความคิดของเจ้าทั้งหมด ข้าละโปรดปรานหลานสาวเช่นเจ้าเป็นอย่างมาก เป็นเพราะเจ้าเฉลียวฉลาด สามารถนำพาประโยชน์มาสู่วงศ์ตระกูลได้ หากแต่เจ้ากลับยุยงเสี้ยมสอนให้พวกเขาพากันขายทรัพย์สินเงินทอง พากันหนีงานมงคลสมรสเพื่อมายังเฉินตูเช่นนี้ ทำร้ายหญิงแก่เช่นข้าจนต้องล้มป่วยลงจนเกือบจะต้องลงโลงไปแล้ว!”พอได้แล้ว!”ท่านจ้าวนครรับกล่าวตัดบท “หนีงามสมรส” เพียงแค่ได้ยินคำนี้ ท่านจ้าวนครก็มิมีเวลามาฟังพวกนางทะเลาะกันอีกต่อไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา