บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 194

“หลายปีก่อนข้าเคยมาที่นี่ ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ ข้าย่อมไปมาหลายที่แล้ว”

โม่เสิ่นหยวนเพียงตอบนาง

แต่หาได้บอกนางไม่ว่า เขาเดินทางขึ้นเขาลงห้วยมาหลายที่แล้วนั้น ก็เพื่อตามหาสถานที่ที่อยู่ในความฝันของนางนั่นเอง

เย่จายซิงพลันพยักหน้าลงเล็กน้อย พลันมาถึงช่วงเวลาที่พิธีกรสาวพูดเรื่องภารกิจขึ้นมาในทันที นางจึงได้เท้าคางรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“ภารกิจที่สามในวันนี้ก็คือ การจัดการอสูรปีศาจขั้นเสือทรายดำ โดยต้องการเขี้ยวเสือร้อยเขี้ยว”เมื่อพูดจบ พลันเกิดเสียงแซ้ส่องขึ้นมาในทันที

อสูรปีศาจขั้นหกหาได้ต่อกรได้ง่ายไม่ อีกทั้งยังต้องการเขี้ยวเสือทรายดำถึงร้อยเขี้ยวอีก เสือทรายดำหนึ่งตัวมีสองเขี้ยว นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องจัดการเสือทราบดำถึงห้าสิบตัว นี่หาใช่ภารกิจง่ายดายไม่

เย่จายซิงพลันหันไปหาโม่เสิ่นหยวน “อสูรปีศาจระดับหก นั่นเทียบเท่ากับการฝึกตนไปจนถึงระดับสูงสุดของราชาเลยไม่ใช่หรือ นับว่าเป็นภารกิจที่ยากจริงๆ ”เสือทรายดำถึงห้าสิบตัว จักต้องฆ่ากันไปจนถึงเมื่อใดกัน“ยิ่งภารกิจได้มากเท่าใด เงินรางวัลย่อมากตาม”โม่เสิ่นหยวนกล่าว

จู่ ๆพิธีกรสาวพลันเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ภารกิจนี้ หากทำได้สำเร็จภายในวันเดียวแล้วไซร้ จะได้รับเพลิงพิลึกขั้นเจ็ดกลับไปครองด้วยเช่นกัน”

เพลิงพิลึกขั้นเจ็ด!

ในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้คนนับสิบคนลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

นัยน์ตาของเย่จายซิงพลันทอประกายระยิบระยับไปในทันที หากแต่หาได้แสดงสีหน้าท่าทีตื่นเต้นออกมาไม่ นางเพียงหันไปถามเสด็จอาด้วยท่าทีสงสัยว่า

“ที่นี่ให้ข่าวสารแม่นยำหรือไม่?”“แม่น”เขาพยักหน้ารีบ พร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ขึ้นมา“ที่โรงน้ำชาหวูหยาแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นสถานที่เอาไว้แจกแจงภารกิจ ทั้งยังมีสายสัมพันธ์จวนขุนนางใหญ่ๆ อีกมากมายยิ่งนัก ยามที่พวกเขาแจกแจงภารกิจออกมานั้น ล้วนแต่เป็นภารกิจขนาดใหญ่ เฉกเช่นภารกิจสังหารเสื้อทราบดำเพื่อเอาเขี้ยวเสือมา ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ต้องการมัน หากว่าต้องการเป็นจำนวนมากนั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะมีผู้ฝึกตนต้องการมากเช่นกัน”“เช่นนั้นเรื่องเพลิงพิลึกขั้นเจ็ดก็เป็นของที่ผู้ฝึกตนมอบให้เป็นรางวัลหรือ?”“ไม่แน่เสมอไป หากผู้ฝึกตนต้องการวัตถุดิบในการฝึกตนนั้น พวกเขามักจะต้องไปพูดคุยกับโรงน้ำชาหวูหยาเพื่อถามถึงเรื่องราคาค่าใช้จ่าย ทว่า รางวัลนั้น ล้วนแค่เป็นสิ่งที่โรงน้ำชาหวูหยาเป็นตัวกำหนดออกมา เสมือนกับเขี้ยวของเสือทรายดำนั้น ยิ่งต้องการรีบใช้ ทั้งยังมีปริมาณมากเช่นนี้อีก นั่นแสดงว่าราคาที่ผู้ฝึกตนต้องจ่ายย่อมต้องสูงเทียบเท่ากับเหลิงพิลึกขั้นเจ็ด อีกทั้งโรงน้ำชาหวูหยายังเป็นหน่วยข่าวกรองที่มีความแม่นยำมากอีกด้วย”เขาพยายามที่จะอธิบายให้กับนางฟัง

ไม่นานนัก เย่จายซิงก็เข้าใจได้ในทันที

พูดง่ายๆก็คือ ที่นี่คือหน่วยข่าวกรอง ผู้ใดต้องการวัตถุดิบชิ้นไหนก็มาติดป้ายประกาศ แล้วก็มอบของจ่ายราคาค่าตอบแทน ทว่า โรงน้ำชาหวูหยาเพียงแค่ทำการมอบรางวัลตอบแทนเท่านั้น พวกเขาเพียงแค่ใช้ความสามารถและสติปัญญาของตนเอง ก็เสมือนกับเป็นการทำภารกิจเพื่อรับรางวัลตอบแทน

ช่างเป็นการลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่ได้ประโยชน์มากมายยิ่งนัก

ทว่า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

“ไม่แปลกใจเลยที่เสด็จอาพาข้ามาที่นี่ ทำเอาข้าเปิดโลกมากมายนัก ข้าเดาว่าเสด็จอารู้เรื่องเพลิงพิลึกขั้นเจ็ดอยู่แล้วใช่หรือไม่”เย่จายซิงพลันมองไปยังดวงตาระยิบระยับของโม่เสิ่นหยวนเขาพลันรู้สึกเบิกบานใจในทันที พร้อมกับจับมือนางเอาไว้“ยิ่งราชากู่ตายไวเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งวางใจมากขึ้นเท่านั้น”เย่จายซิงก็จับมือเขากลับ “เจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเรารับภารกิจนี้เถอะ หากพวกเราเอาเพลิงพิลึกได้แล้ว จะได้ไปตามหาร่องรอยของอสูรเทพเสียที!”สถานการณ์ภายในนั้น มีคนไม่น้อยเลยที่ยกแผ่นป้ายขึ้นมา

การบกแผ่นป้ายขึ้นมานั่นหมายความว่าต้องการรับภารกิจ

หนึ่งภารกิจสามารถรับได้หลายคน ทว่า ผู้ที่ทำภารกิจได้สำเร็จก่อน จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล

พลันมีบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่ง พลางยกป้ายเลขหกขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า

“ภารกิจนี้ข้ารับแล้ว มีผู้ใดต้องการเข้าร่วมภารกิจกับข้าหรือไม่ เมื่อถึงเวลาแบ่งสันกันแล้ว ผู้ใดจักเป็นคนได้เพลิงพิลึกขั้นเจ็ดไป ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนผู้นั้น!”มีคนไม่น้อยเลยที่เก็บไปพิจารณา พร้อมกับวางป้ายในมือลงแล้วไปเข้าร่วมกับโต๊ะหมายเลขหกแต่เดิมโต๊ะป้ายเลขหกที่มีอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น ผ่านไปไม่นาน พลันมีเพิ่มมากกว่าเดิมเป็นสามสิบคนเลยเชียว คล้ายกับว่า ผู้ที่ยกป้ายขึ้นเมื่อครู่นั้น ต่างก็ได้ไปเข้าร่วมกับพวกเขาหมดแล้ว“ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?”เย่จายซิงพลันหันมาถามด้วยความสงสัย“หนึ่งหมายเลข หมายถึงหนึ่งพรรคพวก หากเป็นภารกิจเช่นนี้ละก็ ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่ โอกาสในการทำภารกิจให้สำเร็จย่อมมากตาม รางวัลที่ได้ก็คือข่าวสาร หาได้มีเพียงแต่ของล้ำค่าในเมื่อมีคนมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าท้ายที่สุดจะเป็นผู้ใดตกตายไปย่อมไม่มีใครล่วงรู้ได้”ดังนั้นการที่พวกเขารวมกลุ่มกันเช่นนี้ หากเอาแต่พึ่งพาเพียงไม่กี่คนนั้น โอกาสจะทำให้ภารกิจลุล่วงย่อมยากตามวันเวลาที่ผ่านไปวันเดียวแสนสั้นยิ่งนัก หากว่ามีเวลามากกว่านี้หน่อย บางทีอาจจะมีบางคนที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือไวขนาดนี้ก็เป็นได้

ในเมื่อมีคนรู้มากขึ้นหนึ่งคน ย่อมหมายความว่ามีคนจ้องที่จะขโมยของล้ำค่าเพิ่มไปอีกหนึ่งคนเช่นกัน

“ยังมีใครอยากรับภารกิจอีกหรือไม่?”

หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พิธีการสาวจึงเอ่ยถามขึ้นมา

แต่เดิม ทุกคนคิดว่าจะไม่มีใครมารับภารกิจอีกแล้ว หากแต่ไม่มีใครคิดเลยว่า จะมีบุรุษร่างใหญ่ที่นั่งอยู่มุมห้องยกป้ายของตนเองขึ้นมา

ทุกคนจึงมองไปที่พวกเขาในทันที พลันพบว่าโต๊ะหมายเลข “เจ็ดสิบหก”มีเพียงสองคนเท่านั้น

“มีแค่สองคนกล้ารับภารกิจชิ้นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?”

“ดูเหมือนว่าเป็นพวกเด็กใหม่กระมัง นี่มิใช่ว่าทระนงเกินไปหรือไม่!”

“อสูรปีศาจขั้นหกแข็งแกร่งมากนัก ทั้งยังต้องฆ่าให้ตายทั้งห้าสิบตัวอีกและด้วยระยะเวลาภายในวันเดียวอีกด้วย อีกทั้งยังมีจำนวนคนแค่สองคนรับภารกิจอีก ช่างเพ้อฝันในเรื่องที่ไม่เป็นจริงเสียเหลือเกิน!”ผู้คนต่างพากันรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องนี้ขึ้นมาในทันที ทั้งยังแอบพูดถึงทั้งบุรุษและสตรีทั้งสองคนไปในเชิงที่ไม่ดีอีกด้วยแม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นใบหน้าของเย่จายซิงและโม่เสิ่นหยวนไม่ชัดเจนนัก หากแต่ทั้งสองคนดูอายุน้อยกว่าพวกเขามาก หากได้มีท่าทีของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีผู้ใดคิดว่า ทั้งสองคนจะสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จอีกด้วยพิธีกรจึงเอ่ยถามขั้นมาอีกว่า“หมายเลขเจ็ดสิบหก แน่ใจหรือไม่ว่าจะรับภารกิจนี้?”

“มั่นใจ”

โม่เสิ่นหยวนพลันตอบกลับด้วยความเย็นชา

“ได้เจ้าค่ะ หากทั้งสองยืนยันที่จะทำภารกิจนี้แล้วนั้น เพื่อเป็นค่าลงทะเบียนทุกคนจะต้องวางหินทิพย์ลงไปก่อนยี่สิบก้อน ก่อนถึงวันพรุ่งนี้ ทุกคนจะส่งมอบภารกิจทั้งหมดมาให้ หากกลุ่มไหนไม่มาส่งมอบภารกิจ นั่นหมายความว่าทำภารกิจไม่สำเร็จ”

พิธีกรสาวเมื่อเห็นทั้งสองคนมาใหม่นั้น จึงได้เอ่ยทบทวนกติกาให้ใหม่อีกครั้งไม่นานนักพลันมีคนมาเก็บหินทิพย์ทั้งหมดไปในทันทีหินทิพย์มิได้มีมากนัก เพียงแค่เครื่องมือเครื่องมือหนึ่งที่ถูกใช้แล้วและหมดไป“ป้ายหมายเลขนี้ ทั้งสองเก็บมันไว้ให้ดี ด้านบนได้ทำการประทับตราการรับภารกิจของโรงน้ำชาหวูหยาเอาไว้แล้ว เพียงแค่นำป้ายมาส่งมอบภารกิจ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว”โม่เสิ่นหยวนพลันให้เย่จายซิงรับป้ายไม้มาเก็บเอาไว้ พร้อมทั้งลุกขึ้นพานางเดินออกมาในทันที“เสด็จอา ตอนนี้พวกเราไปทำภารกิจงั้นหรือ?”เย่จายซิงพลันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลองทำภารกิจยิ่งนักนางเอาแต่อยู่ในห้วงมิติเวลาเพื่อฝึกฝนปรุงโอสถทั้งวันทั้งคืนแล้ว เมื่อคิดๆ ดูนางก็ไม่ได้เข้าไปฝึกต่อสู้กับสัตว์อสูรมานานแล้วเช่นกัน ในยามนี้มือไม้จึงคันยิบยับ อยากจะออกไปล่าสัตว์อสูรเป็นอย่างยิ่ง“วันพรุ่งค่อยไปทำก็ไม่สาย ตอนนี้พวกเราไปโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนกันดีกว่า”

โม่เสิ่นหยวนพลันกล่าวกับเย่จายซิงด้วยความอ่อนโยนคำพูดของทั้งสองคนหาได้เสียงดังไม่ ทว่า ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็ได้ยินกันจนหมดมุมปากของทุกคนพลันกระตุกขึ้นสองสามครั้ง พลางครุ่นคิดภายในใจว่า บุรุษผู้นี้ทระนงตัวยิ่งนัก ส่วนคนที่ได้รับภารกิจอื่น ๆ ก็พากันใช้วิชาตัวเบาออกไปตามล่าเสือทรายดำในทันที เขาคิดถูกแล้วที่ว่าจะนอนพักผ่อนเสียคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกไปทำภารกิจหากไปทำภารกิจวันพรุ่งนี้นั้น ระยะเวลาตอนกลางวันทั้งวันแบบนั้น พวกเขาเพียงแค่สองคนจะจัดการฆ่าเสือทรายดำทั้งห้าสิบตัวได้หรือ? เพียงแค่ได้ฆ่าเสือทรายดำไปสองสามตัวก็นับว่าสุดความสามารถแล้ว!ทุกคนได้แต่คิดไปเองว่า ทั้งสองคนคงรับภารกิจมาลองเล่นๆ ไม่คิดจริงจังอะไรมากทั้งเย่จายซิงและโม่เสิ่นหยวนเองต่างก็ไม่รู้เรื่องที่กลุ่มคนด้านหลังพูดคุยเกี่ยวกับพวกเขาเช่นนี้ ถึงแม้พวกเขาจะรู้ก็หาได้เก็บมาใส่ใจไม่ถ้าหากพวกเขารู้ว่า ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นเซ่าตี้แห่งแคว้นเทพมังกรแล้วไซร้ ทั้งยังเป็นโม่เสิ่นหยวนของแดนมหาจักรพรรดิทิพย์อีก พวกเขาคงจะไม่พูดเช่นนี้ออกมาแน่“ใช่แล้ว เสด็จอา ข้ารู้สึกว่าท่านลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา ท่านมีอะไรที่ไม่ได้พูดกับข้างั้นหรือ?”หลังจากที่ออกมาแล้วนั้น เย่จายซิงพลันหยุดฝีเท้าลง พร้อมทั้งหันกลับมาถามเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา