บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 195

เมื่อเย่จายซิงถามคำถามนี้ขึ้นมานั้น โม่เสิ่นหยวนพลันตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย

หากนางไม่เอ่ยถามออกมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูด

แต่ในเมื่อนางถามออกมาแล้วนั้น แม้เขาไม่อยากจะบอกนาง ก็ต้องได้บอกกับนางตามตรงอยู่ดี

“เจ้าของโรงน้ำชาหวูหยาแห่งนี้ เจ้ารู้จัก”

ถึงคราวของเย่จายซิงที่ต้องรู้สึกแปลกใจออกมา “ข้ารู้จักหรือ?”

เหตุใดนางถึงไม่รู้เลยว่า ตนเองรู้จักเจ้าของโรงน้ำชาหวูหยาด้วย ก่อนที่นางจะมาถึงนั้น นางหาได้รู้จัดสถานที่ที่เอาไว้แจกแจงภารกิจนี้ไม่

“เป็นชายผมสีทองจากตระกูลขุนนางที่รักสันโดษ”

โม่เสิ่นหยวนพลันเอ่ยออกมาอย่างไม่ใคร่พอใจนัก เขายังจำได้ว่านางรับป้ายหยกจากบุรุษผู้นั้นมาอยู่เลย

“เป็นเขาหรือ!”

เย่จายซิงพลันจำได้ว่า ยามที่อยู่แคว้นหงสานั้น บุรุษผมทองผู้นั้นคือคนที่ซือยาเลี้ยงจิตของนางเย่ อีกทั้งเขายังจิตใจดีมากอีกด้วย

นามของเขาคือหรงจิ่งเฉิน เสด็จอากล่าวว่าเขาคือนายน้อยตระกูลขุนนางรักสันโดษ ทั้งยังไม่ยอมให้นางไปสนิทชิดเชื้อกับบุรุษผู้นี้อีกด้วย

ในตอนนั้นเสด็จอาวางท่ามีอำนาจมากกว่าในครานี้ยิ่งนัก

หาใช่เขาวางท่ามีอำนาจไม่ แต่เป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะรู้สึกยับยั้งชั่งใจของตัวเองได้ดี ทั้งยังรู้จักรักษาความรู้สึกของนางมากขึ้น

“ไม่คิดเลยว่าโรงน้ำชาหวูหยาแห่งนี้จะเป็นเขาที่เปิดขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่ข้าไม่คาดฝันเสียจริง”

เมื่อเห็นนางกำลังรื้อฟื้นความทรงจำตนเองนั้น โม่เสิ่นหยวนจึงได้รับคว้ามือนางเดินออกมาในทันที พร้อมกับพูดว่า

“ในตอนนั้นพวกเจ้าพูดคุยกันอย่างถูกคอ น่าเสียที่ในวันี้นเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งเจ้ากับเขาย่อมไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว”

เย่จายซิงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นเปรี้ยวที่โชยออกมาในทันที พร้อมกับเดินไปด้านหน้าของโม่เสิ่นหยวนแล้วจึงเอ่ยหยอกล้อว่า

“เสด็จอาท่านกินน้ำส้มเปรี้ยวหรือ? กลิ่นน้ำส้มเปรี้ยวที่ลอยอยู่ในอากาศนี่คืออันใดกัน อ๋อ ข้ารู้แล้ว เสด็จอากำลังสร้างภาพและกินน้ำส้มเปรี้ยวไปด้วยนั่นเอง”เขาไม่เข้าใจว่าอันใดคือการสร้างภาพ จึงเอ่ยถาม “เหตุใดต้องสร้างภาพด้วย?”เย่จายซิงพลันหัวเราะออกมาว่า“สร้างภาพก็คือ จู่ๆ ในหัวของท่านก็มือแผนการอะไรบางอย่างออกมามากมายเกี่ยวกับความรักใคร่ ข้ากับหรงจิ่งเฉินเพียงแค่เป็นคู่ค้าโอสถที่ดีต่อกันเท่านั้น ส่วนการพูดคุยกับเรื่องอื่นมีน้อยยิ่งนัก เสด็จอา ท่านกำลังสร้างภาพความสนิทสนมของข้ากับหรงจิ่งเฉินอยู่หรือไม่

แต่ในยามข้าคุยกับเขานั้น ข้าสวมใส่อาภรณ์เป็นบุรุษอยู่ ส่วนป้ายหยกที่เขาให้กับข้าไว้ นั่นเป็นเพราะเขาเห็นฝีมือในการปรุงยาเลี้ยงจิตของข้า จึงได้คิดอยากเป็นสหายกับข้าต่างหาก ”เมื่อได้คำอธิบายคำว่า “สร้างภาพ”แล้วนั้น สายตาของโม่เสิ่นหยวนจึงกะพริบไปมาในทันที พร้อมกับกระแอมกระไอออกมาว่า“ในสายตาของข้า เจ้าเป็นสิ่งของล้ำค่าที่สุดในโลกใบนี้ ผู้ใดที่เข้าใกล้เจ้า คนผู้นั้นล้วนแต่มีเป้าหมายทั้งนั้น”คำพูดของเขาทำให้เย่จายซิงหน้าแดงไปในทันที ถึงแม้ว่านางรู้ว่าตนเองจะเป็นคนเก่ง ทว่า คำพูดของเขากลับทำให้นางรู้สึกใจเต้นยิ่งนัก

เย่จายซิงมองไปที่เขา พลางกล่าวว่า

“เสด็จอา ข้าเพียงแค่ปฏิบัติตัวกับท่านต่างจากเดิมไปเล็กน้อย แต่ข้าหาได้ไปทำเช่นนี้กับผู้อื่นไม่ ต่อไปท่านมิต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”

นัยน์ตาของโม่เสิ่นหยวนพลันฉายแววลุ่มลึกออกมา สองมือกอบกุมมือของนางเอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ในยามนี้ ข่าวคราวของอสูรเทพที่มาปรากฏตัวในแดนเหนือนั้น มีผู้คนไม่มากเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นนครอู่ยุ่นคงไม่มีว่างเว้นเช่นนี้แน่นอน

หลังจากที่ข่าวลือได้รั่วไหลออกไปนั้น เมืองต้นทางที่จะมายังแดนเหนือเช่นคูใจกลางเมืองคงจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเป็นแน่

โม่เสิ่นหยวนพลันพาเย่จายซิงมานอนโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในนครอู่ยุ่นอยู่หนึ่งคืน เช้าวันที่สอง พวกเขาก็ได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่มีเสือทรายดำอาศัยอยู่ในทันที ซึ่งอยู่ห่างจากหุบเขามายาเพียงห้าร้อยลี้

สุดเขตของแดนเหนือก็จักเป็นโลกของอสูรแล้ว เนื่องจากแดนเหนืออยู่ติดกับโลกของอสูร จึงทำให้สัตว์อสูรมากมายที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก

อีกทั้งหุบเขามายาพลันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์อสูรอยู่มากมาย และยังเป็นจุดที่มีสัตว์อสูรอยู่รวมตัวกันมากที่สุดอีกด้วย ไม่เพียงมีเสือทรายดำอยู่เท่านั้น ทั้งยังมีสัตว์อสูรชนิดอื่นเป็นจำนวนมากอยู่ด้วยเช่นกัน

ฉะนั้นแล้ว หลังจากที่เมื่อวานที่กลุ่มแรกพวกเขารับภารกิจกันแล้วนั้น จึงได้รวมกลุ่มกันเพื่อไปยังหุบเขามายาเพื่อตามล่าเสือทรายดำทว่า พวกเขาก็อาจจะถูกสัตว์อสูรตัวอื่นล้อมพวกเขาเอาไว้ได้ง่ายเช่นเดียวกัน

นั่นก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้อื่นถึงสงสัยยามที่พวกเขารับภารกิจนี้เพียงแค่สองคนนั่นเอง

หลังจากที่สอบถามทิศทางอย่างแน่ชัดแล้ว ทั้งสองคนก็พลันใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังหุบเขามายาในทันที

โรงน้ำชาหวูหยา

“ข้าอยากจะหัวเราะให้ตาย ชายหนุ่มกับหญิงสาวที่รับภารกิจล่าเสือทรายดำเมื่อวานนั้น พวกเขาเพิ่งจะออกเดินทางไปยังหุบเขามายาเมื่อครู่นี้เอง! ข้าเห็นพวกเขากำลังถามทางอยู่เมื่อครู่!”

“ทั้งสองคนนับว่าเป็นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสืออย่างแท้จริง ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก มิรู้หรือว่าหุบเขามายาอันตรายมากเพียงใด ปัญหาก็คือพวกเขาจะหอบเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ มิต้องเอ่ยถึงเรื่องการทำภารกิจให้สำเร็จเลย”ทุกคนพลันดื่มชา พร้อมกับคุยเรื่องนี้กันอย่างออกรสออกชาติ“นายน้อยหรง!”

ในขณะเดียวกัน พลันมีบุรุษผมทองผู้หนึ่ง ทั่วร่างพลันเต็มไปด้วยหิมะมากมายเกาะอยู่เดินเข้ามาถ้าหากเย่จายซิงอยู่ที่นี่ละก็ จะต้องจำได้แน่นอนว่าเขาคือหรงจิ่งเฉินที่มาซื้อยาเลี้ยงจิตใจของนางไป“นายน้อยหรงท่านมาได้อย่างไรขอรับ? พวกผมมิได้เจอนายน้อยมาครึ่งปีแล้ว!”มีผู้คนเอ่ยถามด้วยความสงสัย“ข้ามีธุระในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จึงไม่มีเวลามาที่นี่มากนัก วันนี้มีเวลาว่างจึงได้แวะมาดูเสียหน่อย”หรงจิ่งเฉินพลันหันไปหัวเราะกับทุกคนเล็กน้อย พร้อมกับเรียกผู้รับผิดชอบเดินตามเขาเข้ามาข้างใน“นายน้อย!”สตรีที่เสน่ห์เย้ายวนผู้หนึ่ง เมื่อเห็นหรงจิ่งเฉินเข้ามานั้น สีหน้าพลันเต็มไปด้วยความยินดีปะปนไปด้วยความประหลาดใจในทันที พลางรีบร้อนเดินไปชงชามาให้โดยพลันนางก็คือพิธีกรสาวที่ร้องเพลงงิ้วเมื่อวานนั่นเอง นามว่านางชิว นางคือผู้ดูแลของที่นี่ อีกทั้งยังเป็นตระกูลหรงสายรองอีกด้วย ทว่าด้วยความที่นางมีความสามารถ จึงได้ถูกหรงจิ่งเฉินเรียกตัวให้มาดูแลโรงน้ำชาหวูหยาแห่งนี้แทนเขา“เหตุใดวันนี้นายน้อยถึงมาที่นี่ได้เล่า?”นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านั้น หากนายน้อยจะเข้ามา เขามักจะส่งคนมาบอกล่วงหน้าหรงจิ่งเฉินพลันเก็บรอยยิ้มลงไป พร้อมกับถามถึงความเป็นมาของโรงน้ำชาแห่งนี้ว่าเป็นเช่นไรบ้างนางชิวเพียงส่ายหน้าไม่ “ช่วงนี้มิได้มีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษเจ้าค่ะ นายน้อยถามเช่นนี้ มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”นายน้อยมักจะปฏิบัติตัวกับผู้คนด้วยท่าทีเป็นมิตรเสมอ น้อยนักที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ใดเข้า นางพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในทันทีหรงจิ่งเฉินเพียงส่ายหน้าไปมา ทว่า เขามิได้พูดอะไรออกมามากนัก เพียงเรียกให้นางนั่งลงพร้อมกับเข้าเรื่องในทันที“เรื่องที่อสูรเทพปรากฏขึ้นในแดนเหนือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ องค์หญิงหลิวหยิงแห่งแคว้นเทพมังกรได้เข้ามาตามหาร่องรอยของอสูรเทพในแดนเหนือแล้ว พวกเราต้องเดินนำหน้านางไปก้าวหนึ่ง ถึงจะเจออสูรเทพได้”นางชิวพลันอ้าปากขึ้นด้วยความประหลาดใจ นางไม่รู้เลยว่ามีอสูรเทพปรากฏตัวด้วยพร้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัยว่า“ข้าไม่คิดเลยว่าในแผ่นดินเทียนเหย้าจะยังมีอสูรเทพปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ด้วย ในยามนี้มีเพียงแค่การปรากฏตัวของกิเลนกับมังกรเขียวเจ้าสัตว์อสูรสองตัวเท่านั้น สัตว์อสูรที่มาปรากฏตัวในครานี้คือตัวอะไรกัน?”“ยังไม่มีผู้ใดรู้ เรื่องนี้ก็เป็นเพราะว่าองค์หญิงหลิวหยิงมาถึงแดนเหนือ พวกเราถึงได้รู้ข่าว”หรงจิ่งเฉินพลันนวดหัวคิ้วของตนเอง พร้อมเผยสีหน้าที่ดูอ่อนเผยออกมานางชิวที่เห็นเช่นนั้น ก็พลันเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นห่วงว่า“นายน้อยเพิ่งเจอเรื่องในวุ่นวายในตระกูลไป ยังต้องมาตามหาร่องรอยของอสูรเทพอีก ท่านเพียงแค่รับส่งลงไปก็พอแล้ว ช่วงนี้นายน้อยก็พักผ่อนให้มากๆหน่อยเถิด”เมื่อพูดถึงเรื่องวุ่นวายในตระกูลไปนั้น เขาพลันขมวดคิ้วลง พลางกล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “หากตามหาคนผู้นั้นได้ก็คงดี”นางชิวไม่เข้าใจว่า คนผู้นั้นคือผู้ใด แต่นางก็มิได้เอ่ยถามอะไรออกไปมากหรงจิ่งเฉินพลันโบกไม้โบกมือไปมา แม่นางจึงจึงได้นำชาร้อนมาให้อีกแก้วหนึ่ง แล้วจึงเดินออกไปจาห้องหรงจิ่งเฉินดื่มชาไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็เอนตัวนอนลงบนตั่ง ภายในหัวพลันนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในแคว้นหงสาเขาที่คิกว่าตนเองมียาเลี้ยงจิตมากพอแล้วนั้น ไม่คิดเลยว่ายังมีอีกมากที่เขาขาดมันไปตั้งแต่นั้นมา เหล่าปรมาจารย์ที่กลั่นยาเลี้ยงจิตออกมานั้น ไม่มีผู้ใดกลั่นยาได้ออดมาดีเท่ากับเขาเลยสักคน เมื่อหรงจิ่งเฉินส่งคนไปตามหาคนผู้นั้น ก็กลับไม่เจอใครเลยแม้แต่น้อยหลังจากที่เขาใช้หน่วยข่าวสารไปตามหาคนนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงมีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่มีสกุลเย่ หนึ่งในนั้นคือเย่ยู่หยาง แต่อายุไม่เข้ากันจากนั้นไม่นาน ในเฉินตูพลันเกิดปรมาจารย์ด้านการกลั่นยาขึ้นมา มีสกุลเย่เช่นเดียวกัน เยินมาว่านางเป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาระดับเจ็ด หากแต่เป็นสตรี นามว่าเย่จายซิงก็ไม่เข้ากันอีกแต่เขาเคยไปซื้อโอสถหอไป๋เป่าของเย่จายซิงมาก่อน ด้านในมียาเลี้ยงจิตวางขายไม่มากนักในขณะเดียวกัน ข้ารับใช้ของเขาคงจะได้ส่งยาเลี้ยงจิตไปที่ตระกูลแล้วกระมังหากเป็นปรมาจารย์กลั่นยาคนเดียวหันละก็ ขอเพียงแค่ได้กลิ่นย่อมรู้ได้ไม่ยาก

เขามีลางสังหรณ์ใจว่า “น้องเย่”ที่เขาเจอในแคว้นหงสานั้น มีความเป็นไปได้ว่า จะต้องเป็นสตรีอัจฉริยะ เย่จายซิงอย่างแน่นอนเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา