บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 202

ยังมีของสิ่งอื่นอีกหรือ?

ขณะที่โม่เสิ่นยวนพูดจบ ทันใดนั้นก็มีหมอกควันสีดำเกาะตัวกันขึ้น ในชั่วพริบตาเดียวสององครักษ์ยักษ์กับหอกก็ปรากฏ

องครักษ์ยักษ์หมายที่จะฆ่า ได้ตรงมาที่คนทั้งสองยืนอยู่

องครักษ์จากหมอกควันสีดำ ที่แท้เป็นผู้บำเพ็ญจากแดนมหาจักรพรรดิทิพย์!

ขณะที่เย่จายซิงกำลังตกใจอยู่นั้น ไม่มีความเกรงกลัว พร้อมกับชักดาบและกระโจนเข้าไป

นางได้เริ่มการต่อสู้กับสัตว์ร้ายในอาณาจักรของจิตวิญญาณ แต่องครักษ์ที่ยิ่งใหญ่นี้คุกคามนางอย่างหนัก แต่เมื่อแรงกดดันยิ่งมากนางก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นมาก

ทันใดนั้น องครักษ์ยักษ์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวได้โจมตีดั่งสัตว์ที่ดุร้าย นางมีตัวเบา ไม่หนักเทอะทะเหมือนองครักษ์ยักษ์ นี่เป็นจุดอ่อนของพวกเขา

เมื่อจับจุดได้ นางก็กล้าที่จะต่อสู้มากขึ้น การต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนางได้เปรียบ

ส่วนโม่เสิ่นยวนที่ได้สู้กลับไปหลายครั้ง องครักษ์ยักษ์ก็ถูกปราบจนพ่าย เกราะเหล็กหอกยาวก็ตกลงที่พื้น

เขาไม่ได้มาช่วย หากแต่มองนางที่ต่อสู้กับองครักษ์ยักษ์ การที่เห็นนางก้าวหน้าขึ้นทีละนิด จนสามารถจัดการกับองครักษ์ยักษ์ได้ สายตาของเขาปรากฏรอยยิ้ม

ไม่นานเย่จายซิงพบข้อบกพร่องขององครักษ์ยักษ์ จากนั้นใช้ดาบแทงไปที่หว่างคิ้ว เสียงฟิ้วฟิ้วของเกราะเหล็กตกลง

ร่างกายของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่สามารถหายเหนื่อยได้ แต่ในใจของนางยังคงดุเดือดอยู่ เพราะจากการสู้เมื่อครู่ ทำให้นางก้าวหน้าขึ้นมาก

นางเก็บหอกยาวที่พื้นจากแกว่งอยู่หลายครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเหมาะกับมือนางมาก

ซ่อนในวังใต้ดินแห่งนี้มาหลายปี แต่ความคมนั้นยังเหมือนใหม่อยู่เลย

“เสด็จอา นี่มันอาวุธขั้นแปด เดี๋ยวเอากลับไปขายที่หอไป๋เป่าของข้า!”

นางหัวเราะด้วยความชอบใจ

อาวุธขั้นแปดทั้งนางและโม่เสิ่นยวนต่างก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเขากำลังทำดาบศักดิ์สิทธิ์ให้นางอยู่ แต่ยังขาดวัตถุดิบบางชนิดอยู่ เขาเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเลยตีดาบออกมาได้ช้า

ตอนนี้ดาบที่นางใช้ก็คือดาบโบราณที่เสด็จอาได้มากจากแดนลึกลับ กึ่งศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างที่นางกำลังฝึกดาบ ถือว่ายังเหมาะกับมือนางอยู่

โม่เสิ่นยวนเก็บเกราะเหล็กและดาบยาว จากนั้นส่งให้นาง:

“เกราะเหล็กนี้ก็ใช้ได้เลย ดูแล้วมีปัญญาทิพย์ใช้ได้ หมอกดำเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นเวลาหลายปีในพระราชวังใต้ดิน เกราะเหล็กนี้ก็มีเจ้าของ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้คุ้มกันพระราชวังใต้ดินแห่งนี้”

เย่จายซิงเก็บหอกยาวและเกราะเหล็กขึ้นมา หอไป๋เป่าของนางอะไรก็ขายได้ สิ่งของเหล่านี้เอามาขายได้ นางไม่มีทางปล่อยไปแน่ เก็บให้หมด

“เมื่อครู่มองแล้วเกราะเหล็กเหมือนมาจากปัญญาทิพย์?”

นางถาม

ในคำพูดนั้นทำให้เขากระพริบตา

โม่เสิ่นยวนพยักหน้า จากนั้นหัวเราะ พร้อมกล่าวว่า:“อืม คงจะเช่นนั้น”

“ถ้างั้นคงไม่มีอันตรายแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนเข้าไปอย่างสบายๆ พร้อมกับเดินสะบัดแขนเข้าไป

ขณะนั้นเอง เปลวไฟสีฟ้าของผู้บำเพ็ญก็ลงมาที่หัวพวกเขาอย่างฉับพลัน พลังทิพย์ของโม่เสิ่นยวนก็ป้องกันกลุ่มเพลิงนั้น การต่อสู้กลับของเย่จายซิง พลังดาบก็อาศัยจังหวะนั้นจู่โจมเพลิงนั่นได้

การโจมตีของนางใช้พลังทิพย์ถึงสิบพลัง จนได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเปลวไฟสีฟ้า เปลวไฟที่รุนแรงกลับกลายเป็นกลุ่มเปลวไฟสีฟ้าขนาดนั้นเท่ามือ

จากนั้นโม่เสิ่นยวนก็ได้จัดการจากการล้อมของศัตรู ไม่นาน กลุ่มเปลวไฟสีฟ้าก็ติดในกับดัด ส่งเสียงร้องแหลม

“เพลิงพิลึกขั้นเจ็ด ได้มาโดยไม่ต้องเสียแรง”

เย่จายซิงเบ้ปาก จากนั้นเก็บดาบไป

นางกับโม่เสิ่นยวนรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องได้มาตั้งนานแล้ว หากแต่ไม่ใช่ค้างคาวหน้าคนและองครักษ์ยักษ์ แต่หากยังไม่รู้สึกถึงลมปราณอื่นๆ นางจึงคิดว่าเพลิงพิลึกอาจจะซ่อนอยู่ที่นี่ก็เป็นได้

เพลิงพิลึกขั้นเจ็ดได้กำเนิดภูตอัคคีแล้ว ฉลาดปลิ้นปล้อนมาก ถนัดในการปกปิดและซ่อนลมหายใจ รอให้พวกมันเผลอก่อนจากนั้นค่อยโจมตีทีเดียว

เมื่อครู่หากว่าเป็นคนอื่น อาจจะถูกเพลิงพิลึกเผาเป็นธุลีไปเสียแล้ว

ภูตอัคคีไม่ยอม อยากจะทำร้าย ลิ้นของเปลวไฟจะทำร้ายผู้อื่น

แต่หากจะผิดก็เพราะมันที่ไม่ควรรอที่นี่ มันควรจะรู้สึกได้ว่าควรวิ่งหนี โชคไม่ดี ที่มาพบนางกับโม่เสิ่นยวนเข้า

“น้องซิง ต้องฝึกมันนานเท่าไหร่?”

โม่เสิ่นยวนถามนาง

ผู้ชายข้างนอกกำลังลูบพระราชวังใต้ดิน ไม่แน่ว่าอีกครู่คงมาถึงที่นี่

เขาอยากให้นางหลอมเพลิงพิลึกให้เร็วขึ้นหน่อย เพื่อที่จะฆ่าราชากู่ไหมได้เร็วขึ้น

ขำไม่ออกเลยสักนิด

ราชากู่ไหมอยู่ในร่างกายของนาง ยิ่งนานยิ่งอันตราย

“ข้าจะเข้าไปข้างใน เข้าไปนานหรอก”

นางเคยมีประสบการณ์จากการเขมือบเพลิงพิลึกมาแล้ว จึงไหลลงในห้วงกาลเวลาอย่างรวดเร็ว คงจะใช้เวลาไม่นาน

โม่เสิ่นยวนรู้ว่านางมีห้วงกาลเวลา และเรื่องที่เกิดในห้วงกาลเวลาจะไม่เหมือนกัน เพราะว่าเขาก็มีห้วงกาลเวลาเหมือนกัน แหวนบนมือทั้งสองข้างของพวกเขาเหมือนกัน

“อืม เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะจอดูพระราชวังนี้หน่อย”

เย่จายซิงไม่ล่าช้า รีบถือเพลิงพิลึกจากนั้นเข้าไปด้านใน

เมื่อเข้าไป จิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงสีแดงก็กระโจนเข้ามาหานาง จากนั้นร้องจิ๊บๆ แล้วลากนางเข้าไป

หัวใจนางเต้นแรง ตามจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงไปในสนามยา จากนั้นก็มองเจ้าไป๋เวียนหัวล้มลงบนพื้น

เจ้าไป๋กลายร่างเดิมเป็นไป๋เจ๋อ นอนบนพื้นเหมือนไม่รู้จักชีวิตหรือความตาย จึงวิ่งเข้าไปด้วยความตกใจ

“เจ้าไป๋!”

นางอุ้มเจ้าไป๋ขึ้นมา จากนั้นร้องเสียงอี๋ ความกังวลของหัวใจเปลี่ยนเป็นแปลกใจ

“ร่างกายของเจ้าไป๋แข็งขึ้นมาหน่อย แต่แค่นอน เจ้าจิ้งจอก เจ้ามานี่ ไหนพูดสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

จิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงเคารพนางเป็นนาย ในใจรู้เรื่องทุกอย่าง แม้ยังพูดไม่ได้ แต่ก็สามารถแสดงอารมณ์สื่อสารได้

ที่แท้หลังจากที่นางนำเอาพู่เทพเข้ามาในห้วงกาลเวลา เจ้าไป๋มาดูนายาให้นาง จากนั้นพู่เทพก็เริ่มสุก เจ้าไป๋อดใจไม่ไหวกินพู่เทพเข้าไป จากนั้นก็นอนสลบอยู่ตรงพื้น

เย่จายซิงคลายความกังวล

ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าไปกินพู่เทพ เจ้าไป๋จึงหลับอย่างไม่รู้เรื่อง

ได้ยินมาว่าพู่เทพเป็นของเทพที่ดึงดูดอสูรเทพ คงจะล่อใจเจ้าไป๋ แสดงว่านี่เป็นเรื่องจริง

ถึงตอนนั้นนางก็จะหยิบเอาพู่เทพนำมาดูดอสูรเทพ

อีกทั้งพู่เทพมีพลังงานมากมายมหาศาล เจ้าไป๋ที่นอนหลับ ก็กำลังทำการย่อยพลังงานของพู่เทพ และวิญญาณของเจ้าไป๋ก็ก่อตัวแข็งขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี

ไม่แน่ว่าสัก เจ้าไป๋จะได้มีกายหยาบจริงๆ เสียที ไม่ต้องเป็นวิญญาณเช่นนี้

“เจ้าอย่ากังวลไป ไม่มีอะไร ข้าจะนำเจ้าไป๋มานอนบนเตียง เจ้าก็ดูแลเขาอย่างใกล้ชิดด้วย”

นางกล่าวกับจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิง

จิ้งจอกน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางลูบหัวด้วยรอยยิ้ม

หลังจากที่วางเจ้าไป๋แล้ว นางก็นำพู่เทพมาต้มยาให้สุก จากนั้นคิดว่า ควรจะหว่านเมล็ดพันธุ์พู่เทพบนนายา

แต่ก็ไม่รู้ว่า สภาพแวดล้อมของนายา ว่าพู่เทพจะงอกหรือไม่

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางก็นั่งอยู่บนขอบบ่อน้ำเย็น เริ่มหลอมเพลิงพิลึก

เพลิงเทวจิ่วโยตอนนี้ของนางถือว่าเป็นเพลิงพิลึกขั้นหกแล้ว หลังจากที่นางยกระดับจากการเขมือบอัคคีผนึกนภากาฬขั้นสามไป หากว่ามันไปหล่อหลอมกับเพลิงพิลึกขั้นเจ็ด ก็จะสามารถยกระดับได้อีกครั้ง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา