บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 256

เย่จายซิงมองหน้าเสด็จอาอย่างเป็นห่วง นางเอามือนั้นไปลูบใบหน้าของเขา

นางรู้สึกได้ถึงความแหลมคมที่ทิ่มลงบนมือนางอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหนวดเคราของเขานั้นพะรุงพะรัง จนใต้คางนั้นปรากฏจุดวงกลม

สีซีดจาง

ถึงแม้สภาพเป็นเยี่ยงนี้ แต่ความหล่อเหลาของเขานั้นยังคงมีเสน่ห์อยู่ แต่กลับทำให้นางรู้สึกปวดใจ

พอเดาออกได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เขาได้เฝ้าดูนางอยู่ในห้องนี้ ไม่แม้แต่จะย่างก้าวออกไปไหน แม้แต่หนวดเคราใต้คางยังไม่ได้ถูกโกนแต่ง

แต่ในห้องนี้ นอกจากเขาและห้องที่ว่างเปล่า เสมือนเข้านั่งเฝ้าห้องที่ว่างเปล่านี้ไว้

เขาไม่รู้ว่าสภาพร่างกายของเย่จายซิงนั้นเป็นอย่างไร ในใจคงจะคอยกังวลเป็นอย่างมาก

“น้องซิงรังเกียจข้าแล้วเหรอ หึ?”

โม่เสิ่นยวนโน้มตัวลงมา ตั้งใจใช้หนวดยาวของเขานั้นมาแหย่ใบหน้าของนาง นางรู้สึกจั๊กกะจี้จนหัวเราะออกมา แต่นางก็ไม่อยากพลักตัวเขานั้นออกห่าง แต่นางกลับกอดคอของเขาไว้แน่น และโอบเขาไว้อย่างแนบแน่น

“เสด็จอา ข้าไม่มีวันที่จะรังเกียจท่าน ต่อไปถึงแม้ท่านจะแก่เฒ่า ข้าก็ยังจะรักท่านเหมือนเดิม”

โม่เสิ่นยวนจับมือนางไว้แน่นและขยับหัวออกเล็กน้อย แล้วมองนางอย่างประหลาดใจ:

“เมื่อกี้น้องซิงพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด เจ้าพูดอีกครั้งซิ!”

เย่จายซิงกัดริมฝีปากพร้อมสายตาดั่งสายน้ำ ก้มหัวแล้วพูดเสียงเบาว่า: “ไม่ได้ยินก็ช่างมันเถอะ นึกไม่ถึงว่าเสด็จอายังไม่แก่ แต่หูนั้นตึงไปซะแล้ว”

เขาจับคางนางขึ้นมาให้นางมองหน้าเขา แววตาที่ประกายความอ่อนหวาน ใช้น้ำเสียงออดอ้อนพูดว่า: “น้องซิงพูดอีกครั้งหนึ่งดีไหม ข้าอยากฟังคำคำนั้น”

“คำไหน?”

นางแสร้งถาม

“คำสุดท้ายนั่นไง”

โม่เสิ่นยวนรอคอยนาง หัวใจของเขานั้นเต้นแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทำให้เลือดในตัวเข้านั้นสูบฉีดเร็วขึ้นไปด้วย

เมื่อเห็นสีหน้าการรอคอยของเสด็จอาแล้วนั้น เย่จายซิงนั้นรู้สึกหัวใจนั้นพองโตจนแทบจะทะลุออกมา นางรีบ “จุ๊บ” ลงบนริมฝีปากบางนั้นแล้วพูดขึ้นว่า:

“ข้ารักท่าน เสด็จอา!”

พูดจบนางรีบเอาใบหน้านั้นซุกเข้าไปในอ้อมอกเขา หูนั้นแดงไปหมด

สองภพชาติที่ผ่านมานางไม่เคยพูดคำว่า “ข้ารักเจ้า”ออกจากปากมาก่อน วันนี้พูดไปถึงสองครั้ง นางรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าให้เขานั้นมองหน้าที่เขินแดงของนาง

เมื่อเผชิญหน้ากับหลงเฟยหลี นางต้องแสร้งทำเป็นหน้าแดง แต่กับเสด็จอาแล้ว ทุกความรู้สึกของนางนั้นจริงใจและกลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

เสด็จอาเป็นผู้สอนให้นางรู้ถึงรสชาติของการหลงรักใครสักคน

ใบหน้าของโม่เสิ่นยวนนั้นเต็มประกายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ความสุขสมและตื่นเต้น น้อยมากที่เขาจะแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา

บนโลกใบนี้ มีคนเดียวที่สามารถทำให้อารมณ์เขานั้นหวั่นไหวได้ คนนั้นก็คือน้องซิงที่อยู่ในอ้อมอกของเขา

“น้องซิง ข้าก็รักเจ้า ต่อไปก็จะรักเจ้ามากขึ้นไปอีก”

เขาพูดอย่างอ่อนโยน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและมั่นคง

เขาประทับรอยจูบบนหน้าผากของนาง แล้วใช้ทั้งสองมือของเขาจับที่แก้มนาง และสบตาที่ดำแววของนางแล้วพูดขึ้นว่า:

“น้องซิง แต่งงานกับข้านะ?”

เย่จายซิงแววตาตื่นเต้นประหลาดใจ

มันจะเร็วไปไหม?

แต่ดูเหมือนก็ไม่เร็วแล้ว เขาก็เคยพูดมาก่อน รอนางถึงวัยที่เหมาะสมแล้วจะแต่งงานกับนาง

เมื่อเห็นท่าทีเก้ๆกังๆของเสด็จอา นางบิดริมฝีปากแล้วพะงกหน้ารับปาก:

“ค่ะ เสด็จอา ข้าจะแต่งกับท่าน”

นางยินยอมรับปากอย่างเต็มอก ก่อนนางจะเข้าไปในห่วงกาลเวลา นางก็มีความคิดพร้อมที่จะมีลูกกับเขาแล้ว

แต่ตอนนี้ นางยังไม่อยากรีบมีลูก เลยยังไม่ได้พูดเรื่องความในใจนี้ให้เสด็จอาฟัง

อีกอย่างตอนนี้ทางวังก็กำลังเตรียมให้เขานั้นเลือกพระชายา แน่นอนว่านางจะไม่ยอมให้หญิงอื่นนั้นมายุ่งกับเสด็จอา

เสด็จอานั้นเป็นของนางคนเดียว

โม่เสิ่นยวนนึกไม่ถึงว่านางจะตอบตกลงเร็วถึงเพียงนี้ เขาเหมือนถูกความสุขนั้นมอมเมา เขาหยุดชะงักไปสักครู่ ถึงแสดงความยินดีปรีดานั้นออกมา จนอุ้มนางขึ้นสูง:

“น้องซิงรับปากข้าแล้ว! น้องซิงรับปากแต่งงานกับข้าแล้ว! เจ้าจะเป็นของข้าแล้ว !”

เย่จายซิงเป็นครั้งแรกที่เห็นเสด็จอาตื้นตันถึงเพียงนี้ เวลานี้เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ได้โยนความเข้มขรึม ความสุขุม ที่เคยเป็นทิ้งไปหมด เหลือเพียงแต่ความยินดีและอุ้มนางหมุนไปมาอย่างดีใจ

ทั้งสองนั้นต่างดีใจอย่างโลดเต้น หัวเราะอย่างมีความสุขจนสายตานั้นแทบจะทอเป็นสาย

“พอแล้วๆ เสด็จอา ท่านทำให้ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว!”

นางกอดขอของเขาไว้แล้วพูดอย่างออดอ้อน

โม่เสิ่นยวนถึงยอมหยุดแล้ววางนางลงบนเก้าอี้ แต่เขานั้นไม่ได้เดินออกไปแต่กลับโน้มตัวลงมาโดยเอาปากเขานั้นมาปิดปากอันบอบบางของนาง

ริมฝีปากของเขานั้นร้อนเผ่า ไม่เหมือนดั่งรอยจูบที่ผ่านมา เขาจูบอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงโดยไม่สนใจนางว่าจะขัดขืนหรือไม่ เหมือนดั่งจะแผ่ซ่านความยินดีนั้นผ่านริมฝีปากของนาง

ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆถอยออกแล้วไปยืนอยู่ข้างเตียง พร้อมเสียงหายใจที่แรง

สายตาเย่จายซิงนั้นยังเลือนราง เสื้อผ้านั้นเกือบถอดออกหมด แต่กลับไม่เห็นตัวเขาแล้ว นางถอนใจไปเฮือกหนึ่ง แล้วมองไปที่เขา:

“เสด็จอา ข้าไม่ได้ปฏิเสธท่าน ท่านถอยออกไปทำไม?”

“น้องซิง อย่ายั่วข้าอีกเลย” โม่เสิ่นยวนพูดอย่างเสียงแหบแห้ง หน้าอกนั้นหายใจอย่างกระเพื่อม สายตานั้น: “รอคืนวันเข้าหอ ค่อยให้เจ้าร้องขอปล่อยเจ้าหละกัน”

ใบหน้าเย่จายซิงนั้นแดงระเรื่อ คำพูดเสือสิงห์กระทิงแรดอะไรกัน เสด็จอาพูดจาบ้าๆหน่ะ!

แต่การให้เกียรติของเสด็จอา ทำให้นางรู้สึกดีใจ แน่นอนว่านางจะมอบสิ่งของที่มีค่าที่สุดให้กับเขาในคืนวิวาห์ แบบนั้นมันจะยิ่งมีความหมาย ต่อไปเมื่อรำลึกถึงก็จะได้ไม่เสียดาย

หลังจากทั้งสองนั้นสงบอารมณ์ลงมาแล้ว ได้ทำการจัดหนวดเคราของเขา นางลงมือโกนหนวดให้เขาด้วยตัวเอง

“เสด็จอาหล่อมาก!”

เสด็จอาที่ไม่ไว้หนวดเคา มองดูแล้วเพลินตายิ่งขึ้น ตอนจูบหอมจะได้ไม่แทงปากด้วย

นางจ้องริมฝีปากของเขา ทันทีนั้นก็ถูกเขานั้นจูบด้วยริมฝีปากอีกครั้ง

“พอแล้วๆ ไม่เอาแล้วเสด็จอา เราต้องคุยเรื่องงานกันแล้ว”

ผ่านไปสักครู่ นางนั้นพลักเสด็จอาออกไปหลายก้าว ไม่งั้นวันนี้คงไม่ได้ออกไปเป็นแน่ คงได้แต่อยู่ในห้องนี้จู๋จี๋กัน

ในโลกความเป็นจริง นางเท่ากับหลับใหลไปห้าวัน และไม่รู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว

แล้วยังมีเรื่องที่ราชสำนักจะให้เสด็จอานั้นเลือกพระชายา ตอนนี้นางรับปากที่จะแต่งงานกับเข้าแล้ว ต้องรู้ให้กระจ่างว่าเรื่องราวนั้นมันเป็นอย่างไร

“ตระกูลปีศาจทางเหนือนั้นได้ถอยร่นกลับไปแถบเหวปีศาจแล้ว แต่เพราะมีม่านอาคมนั้นขวางกั้น พวกเขาเลยกลับไปที่โลกปีศาจไม่ได้ เลยรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก พันทธมิตรผู้บำเพ็ญตนนั้นยากที่จะทำลาย ตระกูลปีศาจในช่วงเวลาอันสั้นได้”

โม่เสินหยวนดึงตัวนางเข้าไป พูดกับนางอย่างเสียงอ่อนโยน

เย่จายซิงนั้นขยิบตา ตอนนั้นนางแค่คิดไม่อยากให้ตระกูลปีศาจของโลกปีศาจนั้นกลับออกมาอีก แต่คิดไม่ถึงตระกูลปีศาจในโลกมนุษย์พวกนี้

แต่พวกมันนั้นได้ฆ่าเผ่ามนุษย์ไปไม่น้อย ถือว่าต่างชำระแค้นกัน

“แต่ก็ไม่รู้ว่าม่านอาคมนั้นสามารถขวางกั้นได้นานเพียงใด กลิ่นปีศาจทางเหนือนั้นน่าจะยากที่จะลบเลือนไป ข้าเกรงว่าจะมีตระกูลปีศาจอื่นที่ใจฮึกเหิม รอการสลายของม่านอาคมแล้วจะบุกรุกเข้ามาอีก”

นางพูดอย่างกังวลใจ ถึงแม้หลงเฟยหลีจะรับปากนางแล้ว แต่ก็ยังมีขุนนางปีศาจตนอื่นอีก

“เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าและข้า พวกข้าได้หยุดยั้งการรุกรานครั้งใหญ่ ถ้าไปเทียบกับพวกนั้นแล้ว ตระกูลปีศาจอื่นๆนั้นไม่มีค่าพอ ถ้าเรื่องเล็กเพียงเท่านี้ยังต้องเป็นเจ้าที่ต้องออกหน้า คนบางคนอยู่ไปก็ยิ่งไร้ประโยชน์ไปอีก”

โม่เสิ่นยวนพูดขึ้น

ใครบางคนที่เขาพูดถึง หมายถึงเสด็จพ่อของเขา และตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ

คนเหล่านี้ ถ้าหลบอยู่ข้างหลังทั้งชาตินี้ แผ่นดินใหญ่นี้ก็ควรจะสูญสิ้นไปเร็ววัน

“เจ้าห้ามคิดถึงเรื่องโลกปีศาจอีก”

เขาพูดออกมาอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด

เย่จายซิงนั้นแอบหัวเราะ ดีที่เขานั้นไม่เอ่ย “หลงเฟยหลีแห่งโลกปีศาจ” เขากลับหาเรื่องหึงหวงขึ้นมาเองซะงั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา