บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 349

การปรากฏตัวของเตาหงส์เสวียนม่วง นับว่าช่วยเย่จายซิงแก้ปัญหาเรื่องที่นางไม่มีเตากลั่นโอสถได้ในทันที

สำหรับการประลองปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงนั้น ล้วนแต่ต้องใช้เตากลั่นยาขออตนเองเท่านั้น ในเมื่อเตากลั่นยาใบนี้เป็นของที่นางคุ้นเคย เช่นนั้นการประลองในวันพรุ่งนี้ เย่จายซิงจึงรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นในทันที

เมื่อเย่จายซิงมีเตากลั่นโอสถแล้วนั้น นางก็ไม่จำเป็นจะต้องไปที่ตลาดมือดอีกต่อไป

อีกทั้งตลาดมืดล้วนแต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ในยามนี้ ในท้องของนางยังมีลูก ๆ ของนางด้วย ถึงอย่างไรนางก็ต้องดูแลความปลอดภัยของตนเองไว้ก่อนดีกว่า

เย่จายซิงจึงได้นอนลูบท้องของตนเองไปมาจนผล็อยหลับไป

เช้าวันที่สอง เย่จายซิงจึงได้ปลดเชือกมัดเซียนให้กับฉียวี่เจียและกัวเจียงออก

มิรอให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนนั้น นางก็ส่งโอสถพิษเข้าไปในปากของพวกเขาในทันที

“นี่เป็นโอสถสาปวิญญาณตัวก่อนหน้านั้น ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะฉวยโอกาสในยามที่ข้าลงไปประลองนั้นหนีไป ดังนั้น ข้าจึงได้เพิ่มตัวโอสถพิษมากขึ้นไปอีก พวกเจ้าวางใจได้ หลังจากนี้ข้าจะยังมอบยาถอนพิษให้กับเจ้าเหมือนเดิม”

ทั้งสองคนโกรธแค้นเย่จายซิงเสียจน ไม่อาจพูดอันใดออกมาได้เลย

หากว่าสายตาของพวกเขาสามารถใช้ฆ่าคนได้นั้น เย่จายซิงคงได้ตกตายไปนับครั้งไม่ถ้วน

ทั้งสองคนที่ถูกจับมัดเอาไว้เป็นเวลานาน เพียงลุกขึ้นยืนขึ้นได้ไม่นานนักก็พลันล้มลงไปนั่งกับพื้นในทันที ผ่านไปไม่นานพวกเขาถึงได้มีแรงลุกขึ้นมา

เย่จายซิงจึงเดินออกไปด้านนอก พร้อมด้วยมุมปากที่กระตุกยิ้มขึ้นมา ด้วยนัยน์ตาหยอกล้อ

ดูเหมือนว่า ก่อนหน้านั้นนางจะเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นกระมัง ผู้ใดทำอะไรกับนางไว้ พวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่ดีต่อไปแน่

ถึงแม้ว่าฉียวี่เจียและกัวเจียงจะเกลียดเย่จายซิงมากเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก โอสถสาปวิญญาณที่มีพลังมากถึงสองเท่าของเดิม หากว่าพวกเขาไม่ได้ยาถอนพิษแล้วนั้น อย่างไรคงไม่พ้นต้องพิษจนตายเป็นแน่

ทั้งสองคนจึงได้แต่เดิมตามเย่จายซิงมาแต่โดยดี ไม่คิดเลยว่าใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงสนามประลองแล้ว ผู้คนที่มารอชนการประลองมีมากมายเท่ากับน้ำทะเลและภูเขา บนเวทีประลองนั้น มีปรมาจารย์ท่านอื่นยืนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งใบหน้ายังฉายแววดุดันออกมาอีกด้วย

บนสนามนั้นประลองผู้ที่ดูอายุน้อยที่สุดก็คงจะเป็นนักบวชเต๋ารูปหนึ่ง ที่อายุประมาณยี่สิบกว่ากระมัง

รอบด้านของเวทีประลองพลันเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดมากมย เย่จายซิงจึงได้หันไปหาฉียวี่เจียและกัวเจียงว่า

“ลืมบอกพวกเจ้าไปอย่างหนึ่ง ที่จริงแล้วข้าหาได้ให้พวกเจ้ากินโอสถสาปวิญญาณเข้าไปไม่ แต่เป็นโอสถพิษที่ข้าปรุงมันมาด้วยตนเอง หากพวกเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก มิต้องกังวลไป มันเพียงแค่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกทรมานไปช่วงหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้าคิดหนีไปจากข้าละก็ หากมิได้รับยาถอนพิษทัน ร่างของเจ้าอาจจะเกิดการเน่าเปื่อยจนขาดใจตายก็เป็นได้ ”

ในที่สุดเย่จายซิงก็ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของสองคนตรงหน้าเสียที เพียงก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว นางก็ลอยลงไปที่เวทีลานประลองในทันที

“นางเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดถึงขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีลานประลองเล่า?”

“หรือว่านางก็จะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงเช่นกัน?”

“ไม่ใช่หรอกกระมัง นางอายุน้อยเพียงนี้เป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงเลยหรือ?”

ใบหน้าของนางงดงามยิ่งนัก นัยน์ตาที่สุกสกาว พระเจ้าเหตุใดนางงดงามได้มากถึงเพียงนี้“!”

หลังจากที่เหล่าผู้คนได้เห็นเย่จายซิงแล้วนั้น ราวกับตนเองถูกดึงดูดไปในทันที

ผิวพรรณของนางขาวยิ่งนัก ใบหน้าทั้งห้าพลันเป็นเลิศครบเครื่องทุกด้าน ชุดอาภรณ์สีฟ้าครามทั่วตัวก็ไม่อาจกลบความงดงามและกลิ่นอายสูงส่งของนางได้มิด

ยามที่นางลอยตัวอยู่บนอากาศนั้น งดงามราวกับเทพธิดาที่กำลังลงมาเล่นบนพื้นโลก ทำเอาผู้คนที่จ้องมองนางอยู่เสมือนกับหลุดลอยไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน

หลังจากที่นางขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองแล้วนั้น ทุกคนยิ่งแต่รู้สึกตกตะลึงมากขึ้นไปอีก หรือว่าแม่นางน้อยผู้นี้ ก็เป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงเช่นเดียวกันนั้นหรือ?

“ข้าจำได้แล้ว นางมีนามว่าเย่จายซิง! อายุสิบเจ็ดปีที่เรียกตนเองว่าอาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดที่อายุน้อยที่สุด”

“อะไรนะ? เรื่องโกหกกระมัง! ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน. แต่เย่จายซิงที่เขาร่ำลือไปทั่วกัน คงมิใช่แม่นางน้อยผู้นี้ใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่เชื่อ นางดูอย่างไรก็คล้ายกับพวกที่ปั้นเรื่องโกหกขึ้นมาทั้งนั้น”

ในขณะเดียวกัน ชายชราที่เป็นพิธีกรที่งานประลองในครานี้เดินเข้ามาหาเย่จายซิง

“เจ้ามีนามว่าอะไร ได้ทำการลงชื่อแล้วหรือไม่?”

“ข้าน้อยมีนามว่าเย่จายซิงเจ้าค่ะ ข้าทำการลงชื่อแล้ว”

เย่จายซิงตอบ

ชายชราพลันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าก็คืออาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดนามว่าเย่จายซิงผู้นั้นหรือ? ไร้สาระเสียจริง!”

“หากเจ้าคิดจะถอนตัวในยามนี้ก็ยังทันนะ กลับกัน หากในการประลองกลับพบว่าเจ้ามิได้เป็นอาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดแล้วนั้น ต่อไปนี้ไม่ว่าสมาคมปรมาจารย์กลั่นยาจะจัดการประลองเช่นไรขึ้นมา เจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมอีกต่อไป!”

ชายชราพลันกล่าวออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม

เย่จายซิงที่มีสีหน้าเฉยเมยพลันเอ่ยออกมาว่า “ดูคนอย่ามองที่ภายนอก สิ่งใดที่พวกท่านมิเคยพบ มิได้หมายความว่ามันมิมีจริง ในเมื่อข้าน้อยมาลงชื่อเข้าร่วมการประลองในครานี้ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ข้าขอรับเอาไว้เพียงผู้เดียว”

น้ำเสียงของนางใสก้องกังวานน่าฟังนิ่งนัก ทว่า ยามที่นางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา กลับทำให้ผู้คนคิดว่านางเอ่ยคำพูดเกินตัวออกมาแทน

อะไรคืออย่ามองคนที่ภายนอก แม้ว่าจะมองคนที่ภายนอกแล้วอย่างไร แต่มันย่อมไม่ใช่กับเด็กอายุสิบเจ็ดที่เป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ดเช่นนี้!

นางคิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนที่ลงมาจุติเช่นนั้นหรือ?

เหล่าผู้คนได้แต่พากันส่ายหน้าไปมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงปากหนักได้เพียงนี้ อีกทั้งยังไม่เข้าใจนางด้วยว่าเหตุใดต้องใช้วิธีนี้ในการดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วย

“ฮึ่ม! ได้ นั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า อย่าหาว่าชายชราผู้นี้มิกล่าวเตือนเจ้าก็แล้วกัน!”

ชายชราพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความเย็นชา ทั้งมิคิดสนใจเย่จายซิงอีกต่อไป พร้อมกับหมุนตัวกลับไปยืนประจำที่ของตนเองตามเดิม

“การประลองจะเริ่มขึ้นแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมในการประลองในครานี้ได้แก่ …….”

ชายชราพลันร่ายชื่อในรายชื่อของตนออกมา

เมื่อรวมชื่อของเย่จายซิงด้วยนั้น มีปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงที่เข้ามาร่วมทั้งหมดถึงสามสิบเอ็ดคน ล้วนแต่เป็นผู้คนที่อยู่ภายในละแวกใกล้กับเมืองไป๋เยว่ในการแข่งขันในครานี้ หากพวกเขาสามารถทำความสามารถของตนเองให้มีความโดดเด่นได้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะมีโอกาสได้ไปแข็งขันที่สนามต่อไป ซึ่งตั้งอยู่ในเหลยโจวเมืองเสวียนหยวน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันที่สำคัญในครั้งต่อไป .

หนึ่งในนั้น มีปรมาจารย์ขั้นห้ามีจำนวนมากที่สุด ปรมาจารย์ขั้นหกจำนวนสองคน หาได้มีปรมาจารย์ขั้นที่เจ็ดสักคนไม่

โอ้ หากนับรวมเย่จายซิงเข้าไปด้วยละก็ ก็นับว่ามีหนึ่งคน

แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันหรือผู้เข้าชมการประลองก็แล้วแต่ หาได้มีผู้ใดเชื่อในคำพูดของเย่จายซิงไม่

ใบหน้าที่งดงามช่างไร้ประโยชน์เสียจริง หากต้องมามีสมองไม่ได้เรื่องเช่นนี้

“ภายในการประลองมอบให้เพียงแค่ส่วนวัตถุดิบในการกลั่นโอสถเท่านั้น ส่วนเตากลั่นโอสถทุกคนต้องพกมาเอง ขอให้ผู้เข้าร่วมการประลองทุกคน นำเตากลั่นโอสถของตนเองออกมา เพื่อตระเตรียมการกลั่นโอสถ เป้าหมายของการประลองในครานี้ก็คือ สมุนไพรในการกลั่นโอสถที่อยู่ตรงหน้าของพวกท่าน ให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกวัตถุดิบทำมากลั่นยา จากสมุนไพรที่มีอยู่พร้อมทั้งนำมันมากลั่นเป็นโอสถที่ทุกท่านคิดว่าตนเองถนัดมากที่สุดผู้ใดกลั่นโอสถออกมาได้มีคุณภาพสูงที่สุดภายในสามคนแรก จักได้สิทธิ์ไปที่เมืองเสวียนหยวนเพื่อเข้าร่วมในประลองรอบรองชนะเลิศ” ”

หลังจากที่ชายชราอ่านรายการจบแล้วนั้น ก็พลันกล่าวออกมา

จุดประสงค์ของการประลองปรมาจารย์กลั่นยาในครานี้ ก็เพื่อคัดเลือกปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงที่มีความสามาถเป็นเลิศมากที่สุด เพื่อที่จะได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันที่เมืองเสวียนหยวน

หลังจากที่พิธีกรชราพูดจบแล้วนั้น ปรมาจารย์กลั่นยาแต่ละคนก็นำเตากลั่นโอสถของตนเองออกมา

เย่จายซิงที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็นำเตากลั่นโอสถของตนเองออกมาเช่นเดียวกัน

เพียงแค่นางนำออกมานั้น พิธีกรชราก็หันมามองนางในทันที สายตาพลันเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย พร้อมกับเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจออกมา

เตากลั่นโอสถใบนี้ เพียงแค่ได้มองก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดาทั่วไป

“เตากลั่นโอสถของนางไม่เลวเลย เกรงว่านางคงจะกลั่นโอสถเป็นจริง ๆ ”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันร่วมออกความคิดเห็น

“แล้วมันทำไมกันแม้ว่าเตากลั่นโอสถของนางดีเพียงใด? แล้วนางเป็นอาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดได้งั้นหรือ”

มีผู้คนที่พากันหัวเราะเยาะเย้ยนาง และก็พากันดูถูกนางด้วยเช่นกัน

เย่จายซิงหาได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจไม่ เพียงแค่ยืนรอเวลาให้เหล่าปรมาจารย์กลั่นยาท่านอื่นให้เดินเข้าไปหยิบวัตถุดิบเสียก่อน

หลังจากที่ทุกคนพากันตบตีแย่งวัตถุดิบในการกลั่นโอสถเสร็จแล้วนั้น นางจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปเลือกด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน

“เห็นหรือไม่ นางยอมแพ้ในตนเองไปแล้ว ถึงไม่รู้จักเข้าเข้าไปลืเอกวัตถุดิบดีๆ วัตถุดิบที่เหลืออยู่ล้วนแต่เป็นวัตถุดิบที่กลั่นโอสถออกมาได้ยากมากนัก ”

“ตอนแรกข้าละรอดูนางอย่างมีความหวัง ดูเหมือนว่าข้าจะรอเก้อเสียแล้ว”

ทุกคนพลันได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับแสดงความรู้สึกผิดหวังต่อเย่จายซิงในทันที

เย่จายซิงที่กำลังยอมแพ้ในตนเอง ค่อย ๆ เดินเข้าไปเลือกสรรวัตถุดิบกลั่นโอสถจากองสมุนไพรที่หลงเหลืออยู่

แต่ในสายตาของทุกคนที่มองมานั้น พวกเขาคิดว่านางเพียงสุ่มๆเลือกไปเท่านั้น หาได้คิดจริงจังไม่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา