บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 369

ทันทีที่คิดว่าต่อไปหญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้จะมาล้างเท้าให้ตนเองทุกวัน ใบหน้าของป๋ายหลี่ปินก็เต็มใบด้วยความตื่นเต้น

เมื่อถึงเวลา ผู้คนในตระกูลไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจนเสียสติแล้วหรือ?

อีกทั้งในเมื่อสามารถล้างเท้าให้ตนเองแล้ว แน่นอนว่าต้องสามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ด้วยเช่นกัน

“หลัวเฟิง เจ้าสันดานอุบาทว์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสอนลูกศิษย์ให้ออกมาอุบาทว์แบบนี้เช่นเดียวกัน ทำให้คนรังเกียจ!”

โจวหยวนจื่อกล่าวอย่างดูถูก

เขามองไปทางเย่จายซิง: “ลูกศิษย์คนดี พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องประลองกับพวกเขา ท่านอาจารย์ของเขาเป็นพวกขี้แพ้ตกอับของอาจารย์เจ้า กากเดนที่ไม่มีประโยชน์ ประลองกับเขา จะดึงฐานะของเราให้ตกต่ำ!”

“ข้าว่าพวกท่านไม่กล้าประลองกระมัง!”

หลัวเฟิงเอ่ยกล่าวเสียงดัง

“เป็นเพราะลูกศิษย์ของศิษย์พี่ท่านผู้นี้แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่พรสวรรค์ฟ้าประทาน เป็นเพราะเจ้ามองเห็นว่านางหน้าตางดงามกว่าเทพธิดาทิพย์กู่หลิง ฉะนั้นถึงได้รับนางเป็นลูกศิษย์กระมัง! จุ๊จุ๊ คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ท่านยังเป็นคนประเภทนี้!”

เวลาที่เขาพูดจา ก็นำสายตาที่อุบาทว์แสดงออกมาอย่างถึงอกถึงใจ ดวงตาที่ไม่โตทั้งสองข้างกวาดไปมาอยู่บนร่างกายของเย่จายซิง

“พูดจาเหลวไหล ไร้จารีตประเพณี! หลัวเฟิง ฮู้เต๋ามีคนชาติชั่วเช่นเจ้านี้ ช่างเป็นความอัปยศอดสูจริงๆ! ข้ากับลูกศิษย์มีความสัมพันธ์อาจารย์กับลูกศิษย์ที่บริสุทธิ์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็เป็นเหมือนเจ้า รับลูกศิษย์ผู้หญิงก็เพื่อเชยชม?”

โจวหยวนจื่อเอ่ยกล่าวด้วยความโกรธเคืองที่ระงับไม่ได้

ดูหมิ่นเขานั้นได้ แต่ดูหมิ่นลูกศิษย์เขานั้นไม่ได้

เกียรติยศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของหญิงสาว เขาไม่มีทางให้หลัวเฟิงทำให้ชื่อเสียงของลูกศิษย์เขาเสื่อมเสียอย่างเด็ดขาด!

“ศิษย์พี่ ข้าว่าท่านถูกข้าพูดจี้จุดเข้าให้แล้ว ฉะนั้นถึงพาลโกรธแล้วกระมัง”

หลัวเฟิงกล่าวเยาะเย้ย

เย่จายซิงหันไปมองหลัวเฟิงและป๋ายหลี่ปินอย่างเรียบเฉย ส่งเสียงกล่าว:

“ท่านอาจารย์ของข้ากล่าวไม่ผิด พวกท่านคนประเภทนี้ เป็นความอัปยศอดสูชาติชั่วของฮู้เต๋า ไม่มีมารยาทและความรู้สึกละอายบาปเลยแม้แต่น้อย ข้ารับปากว่าจะประลองกับป๋ายหลี่ปิน แต่ถ้าหากเขาแพ้แล้ว ไม่เพียงหินทิพย์จะเป็นของข้าเท่านั้น พวกเจ้าอาจารย์ลูกศิษย์สองคนก็ต้องคุกเข่าลงไปก้มหัวยอมรับผิดต่อหน้าอาจารย์ข้า”

เดิมทีนางไม่ต้องการจะประลอง

แต่อาจารย์ลูกศิษย์ที่กำเริบเสิบสานคู่นี้ต่างก็รังแกจนถึงปลายจมูกแล้ว นางจะนั่งดูอย่างนิ่งเฉยไม่สนใจได้อย่างไรกัน?

คนประเภทนี้ จะต้องสั่งสอนอย่างรุนแรงสักรอบ

และนาง มีความมั่นใจต่อการวาดฮู้ อยู่เต็มหัวใจ

“ลูกศิษย์ เจ้าอย่าได้สนใจพวกเขา นี่คือวิธีการยั่วยุของพวกเขา เจตนายั่วให้เจ้าเกิดโทสะ!”

โจวหยวนจื่อรีบเอ่ยกล่าว

เขาคิดว่าลูกศิษย์ของตนเองวาดฮู้ไม่เป็น ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเขาเคยสอบถามนางว่าเคยวาดฮู้หรือไม่ นางบอกว่าจำไม่ได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่าต่อให้นางวาดได้เพียงแค่นิดหน่อย จะประลองกับป๋ายหลี่ปินได้อย่างไรกัน?

ถึงแม้ว่าคุณสมบัติประจำตัวของป๋ายหลี่ปินใช้ไม่ได้ แต่ในระดับอาจารย์ฮู้ในรุ่นหนุ่มสาว นับว่าไม่ด้อยเลยจริงๆ

“ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล อาจารย์ลูกศิษย์ทั้งคู่นี้หยิ่งยโสโอหัง ยุให้รำตำให้รั่ว เจตนาทำลายชื่อเสียงของข้า คนประเภทนี้ ควรจะสั่งสอนเสียหน่อย”

เย่จายซิงเอ่ยกล่าวกับโจวหยวนจื่อ

“นังหนูคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกละอายใจตัวดี!” หลัวเฟิงหัวเราะเยาะหยันทันที กล่าว:

“ทุกท่านที่อยู่ตรงนี้สามารถเป็นประจักษ์พยาน แม่หนูคนนี้รับปากจะแข่งขันกับป๋ายหลี่ปินลูกศิษย์ของข้า ถ้าหากนางแพ้ ก็จะต้องเป็นบ่าวล้างเท้าของลูกศิษย์ข้า ฮ่าฮ่าฮ่า!”

เย่จายซิงกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย:

“ป๋ายหลี่ปินแพ้แน่ พวกเจ้าเตรียมตัวคุกเข่าลงไป ก้มหัวยอมรับผิดต่อหน้าข้าและอาจารย์ของข้าเถอะ”

“วาจาโอ้อวดยิ่งนัก!”

สีหน้าของหลัวเฟิงและป๋ายหลี่ปินดูถูกเหยียดหยาม

ผู้คนบริเวณรอบๆก็รู้สึกว่าเย่จายซิงพูดจาโอ้อวด นางอายุน้อยขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดว่าป๋ายหลี่ปินแพ้แน่ ช่างกล้าทำอะไรโดยที่ไม่กลัวถูกติเตียนเสียจริง อย่างไรเสียก็คือนางโง่เขลายิ่งนัก

บางทีแท้ที่จริงแล้วนางอาจจะไม่รู้ว่าอาจารย์ยันต์ทิพย์นั้นยากขนาดไหน ไม่รู้ว่าพละกำลังของอาจารย์ยันต์ทิพย์ขั้นห้าหมายถึงอะไร

“ทุกคนได้ยินแล้วหรือไม่ ไม่มีใครบังคับให้นางรับปาก ดูเหมือนว่า นางคงจะถูกใจข้า รีบอยากจะมาเป็นบ่าวล้างเท้าให้แก่ข้า!”

ป๋ายหลี่ปินหัวเราะเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ

เขา รวมถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็คิดว่า เย่จายซิงเทียบเขาไม่ติด เป็นบ่าวล้างเท้าก็สมควรแล้ว

เย่จายซิงวาดมุมริมฝีปากขึ้นอย่างเรียบเฉย สายตาเย็นชาถึงขีดสุด

ใบหน้าของโจวหยวนจื่อเต็มไปด้วยความกังวล ฝ่ายตรงข้ามหยิบกระดาษฮู้และชาดออกมาพร้อมที่จะวาดฮู้แล้ว เขาร้อนใจจนลืมจัดเตรียมให้แก่ลูกศิษย์ของตนเอง

“ท่านอาจารย์ ขอยืมกระดาษฮู้และสิ่งของต่างๆของท่านใช้สักหน่อยได้หรือไม่?”

เย่จายซิงหันไปกล่าวกับโจวหยวนจื่อ

ในกระเป๋าเก็บของของนาง ไม่มีสิ่งของเหล่านี้

ทันทีที่ผู้คนบริเวณรอบๆได้ยิน ทั้งหมดหัวเราะกันอย่างครื้นเครง พูดมาตั้งนานนางก็วาดฮู้ไม่เป็นโดยสิ้นเชิง แม้แต่พู่กันฮู้กระดาษฮู้ต่างก็ยังไม่หยิบออกมา!

ก็แค่นี้ ยังกล้าประลองกับป๋ายหลี่ปิน?

ตบจนใบหน้านางบวม!

“ข้ามี”

ในเวลานี้ โจวหยวนจื่อยังไม่ได้ทันได้ล้วงสิ่งของออกมา บุรุษหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่ก็ราวกับปรากฏกายขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ปรากฏตัวอยู่ด้านข้างเย่จายซิง พร้อมหยิบอุปกรณ์วาดฮู้ใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะ

เย่จายซิงมองดูเขาด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นตุบตุบไม่เป็นจังหวะ ภายในสมองปรากฏภาพที่มองไม่ชัดเจนขึ้นมามากมาย นางวิงเวียนศีรษะ ยืนไม่มั่นคงเล็กน้อย

ในขณะที่ฝ่าเท้าของนางกำลังโซเซ มือใหญ่ที่มีพลังมือหนึ่งก็ประคองแขนของนางเอาไว้

“ระวังหน่อย น้องซิง”

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้ เผยให้เห็นความรักความผูกพันที่ลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในใจ ปวดร้าวและพองโต ทันทีที่ปวดจมูก น้ำตากลิ้งอยู่ในเบ้าตา

ราวกับว่ามีอารมณ์น้อยใจบางอย่าง

เหมือนกับว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้ นางสามารถสลัดความแข็งแกร่งทั้งหมดทิ้งไปได้ เหมือนกับว่าหญิงสาวนางหนึ่งสามารถพึ่งพาอาศัยเขาได้ แต่เขาปรากฏตัวช้าไป นางจึงรู้สึกว่าน้อยใจมากเหลือเกิน

“น้องซิง ข้ามาช้าไปแล้ว”

โม่เสิ่นยวนมองนางอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่ากำลังมองของล้ำค่าบางอย่างที่หายไปกลับคืนมา คิดอยากจะยื่นมือออกไปลูบหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของนางให้เรียบ

“นี่ เจ้าเป็นผู้ใด อย่ามาเข้าใกล้ลูกศิษย์ของข้าขนาดนี้! เจ้าดูเจ้า ทำให้ลูกศิษย์ของข้าตกใจกลัวจนตาแดงหมดแล้ว!”

โจวหยวนจื่อตบฉาดเข้าไปที่บนมือของโม่เสิ่นยวน ในความคิดของเขา นี่ก็คือมือปลาหมึกมือหนึ่ง

โม่เสิ่นยวนไม่ได้โมโห แต่กันไปกล่าวกับโจวหยวนจื่ออย่างมีมารยาท:

“อาจารย์เทพโจว น้องซิงเป็นภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามประเพณีของข้า เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย พวกเราไม่ทันระวังจึงแยกจากกันเป็นเวลามากกว่าครึ่งเดือน”

โจวหยวนจื่ออ้าปากค้าง มองโม่เสิ่นยวนอย่างไม่กล้าจะเชื่อ แล้วก็มองเย่จายซิง

ลูกศิษย์ของเขาอายุน้อยขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย?

แต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็หน้าตาเหมาะสมกับลูกศิษย์ของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนยืนด้วยกัน กิ่งทองใบหยก ราวกับเกิดมาคู่กัน

เย่จายซิงมองดูชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ภายในใจตื่นตะลึง แต่กลับรู้สึกว่าอยู่ในความคาดหมาย เขาให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างรุนแรงต่อตนเอง และก็เป็นชายหนุ่มเพียงคนที่ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ทำให้ใจของนางเต้นเร็วขึ้น

และตอนที่นางปรากฏตัวที่สำนักเฉียนคุน บนตัวสวมใส่ชุดแดงแต่งงาน หมายความว่านางเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่นางแต่งงานด้วย จะต้องเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ทั้งรูปร่างสูงใหญ่ทั้งหล่อเหลาตรงหน้าผู้นี้

“น้องซิง เป็นอะไรหรือ?”

โม่เสิ่นยวนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติสายหนึ่งบนร่างกายของนาง ในแววตาของนาง เผยให้ความสับสนอย่างคาดไม่ถึง

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางกันแน่?

เย่จายซิงเม้มริมฝีปากแล้วส่ายหน้า ที่นี่ผู้คนมากหน้าหลายตา อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถนำเรื่องที่ตนเองสูญเสียความทรงจำจำเขาไม่ได้บอกกับเขาต่อหน้าทุกคน

“ฮึ่! นางเป็นภรรยาของเจ้าแล้วจะอย่างไร? อีกไม่นาน นางก็จะต้องเป็นบ่าวล้างเท้าของข้าแล้ว!”

ป๋ายหลี่ปินกล่าวแล้วแสยะยิ้มหัวเราะเสียงดัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา