ราวไม่สังเกตเห็นไอสังหารของจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินกล่าวพึมพำกับตัวเอง “สำหรับบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎ ไม่มีสักคนที่โง่เขลา เด็กนี่มาที่นี่เวลานี้ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดพวกเราล้วนไม่อาจประมาท”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกไป คนส่วนมากล้วนลอบพยักหน้า
จากการไล่ล่าที่เมืองเพลิงมรกตจนถึงปัจจุบัน ผ่านเวลามาแล้วเกือบเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนี้ขุมอำนาจใหญ่เล็กทั่วแคว้นกู่ชางแทบจะถูกปลุกระดมสิ้น มุ่งหน้าดักซุ่มและจับตายเทพมารหลินนั่น
แต่จนป่านนี้อีกฝ่ายยังกระโดดโลดเต้นสุขสงบปลอดภัย
ตรงกันข้าม กลับเป็นพวกเขาแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่สูญเสียผู้สืบทอดไม่น้อย แม้แต่ราชันกึ่งระดับชั้นยอดอย่างเหวินสิงโจวยังพลาดพลั้งถูกอีกฝ่ายทำบาดเจ็บ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่สมองปกติอยู่บ้างก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเทพมารหลิน!
“ทำไม หรือศิษย์พี่เสวี่ยคิดว่าเด็กนี่มาฆ่าพวกเรา” จางเจิงหัวเราะเยาะ “นี่น่ะเป็นเขตอิทธิพลของพวกเรา ต่อให้เขาเทพมารหลินแข็งแกร่งกว่านี้ ยังจะกล้าท้าทายพวกเราด้วยตัวคนเดียวหรือ”
เขาหยุดไปชั่วขณะแล้วเลียมุมปากกล่าว “หากพวกเจ้ากลัว เช่นนั้นมอบเด็กนี่ให้ข้าจัดการก็พอ เป็นขอบเขตมกุฎเหมือนกัน ข้ารู้ดีว่าควรจับตายเหยื่อนี่อย่างไร!”
“ข้าแค่เตือนทุกคนว่าอย่าประมาท” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวเย็นชา “หลักการสุขุมรอบคอบกุมชัยหมื่นปี ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจกระมัง”
“ผู้แข็งแกร่งต้องมีจิตผงาดง้ำไร้คู่ต่อกร ไม่ว่าเขาเป็นภูตผีปีศาจอะไร ข้าใช้กระบี่เดียวพิฆาตก็พอแล้ว!” จางเจิงกล่าวอย่างจองหอง
“พูดส่งเดช หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมา เจ้ายังสามารถใช้กระบี่เดียวพิฆาตได้หรือ” เสวี่ยเชียนเหินกล่าวราบเรียบ
“ศิษย์พี่เสวี่ย ท่านนี่เถียงข้างๆ คูๆ หากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันออกจู่โจมจริง แน่นอนว่าข้าจะเลี่ยงปลายดาบเขา แฝงเขี้ยวซ่อนเล็บ นี่เรียกว่าประเมินสถานการณ์แคล้วคลาดหายนะ!” จางเจิงแววตานิ่งสงบ ตอบโต้ไปมา
เห็นเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงกำลังจะขัดแย้ง อวี้เป๋าเป่าที่อยู่ด้านข้างรีบไกล่เกลี่ย
“เอาล่ะ ทุกคนต่างมาเพื่อจับตายเทพมารหลินนั่น ทำไมต้องทำลายสัมพันธ์ด้วยเรื่องนี้”
“เจ้าเด็กนี่เข้าเมืองมาแล้ว!”
เวลานี้นัยน์ตาเสวี่ยเชียนเหินฉายแววยะเยือก สังเกตเห็นบนคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์ว่ากลิ่นอายหลินสวินได้เข้าสู่เมืองแสงอุดรแล้ว
“ศิษย์น้องทุกท่าน โอกาสล่าเป้าหมายมาถึงหน้าประตูแล้ว พวกเรา…” เสวี่ยเชียนเหินสีหน้าจริงจัง กำลังออกคำสั่ง
กลับเห็นจางเจิงไม่รอเขาพูดจบก็แสยะยิ้ม เงาร่างพลันกลายเป็นรุ้งเทพสีเขียวโผออกจากโถง “ข้าจะนำไปก่อน พวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษาไปเถอะ!”
ทันใดนั้นเสวี่ยเชียนเหินสีหน้าขรึมลงทันที กลิ่นอายชวนประหวั่นไร้รูปแผ่กระจายจากร่างเขา ทำให้บรรยากาศในโถงพลันกดดันถึงขีดสุด
เห็นชัดว่าเขาถูกความเอาแต่ใจของจางเจิงยั่วโมโห
“ศิษย์พี่เสวี่ย ให้เขาออกปฏิบัติการก็ไม่เห็นเป็นไร ท่านเองก็รู้ ก่อนหน้าที่ส่งลี่จั้นหนานและหลิงหงจินทำภารกิจก็ทำให้เขาไม่พอใจมากแล้ว” อวี้เป๋าเป่ากล่าวเสียงอบอุ่น
“ในเมื่อเขารีบไปตายก็ปล่อยเขาไป!” เสวี่ยเชียนเหินเสียงเย็นชา
…
ห่างออกไปไกล สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่มหึมาหลังหนึ่งปรากฏในสายตา
เมื่อมาถึงที่นี่ใบหน้างามพริ้งเพราของหลิงหงจินกลับปรวนแปรอยู่บ้าง เห็นได้ว่าละล้าละลังและลังเลนัก
ขุมกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่รับผิดชอบจับตายเทพมารหลินครั้งนี้ บัดนี้ตั้งฐานมั่นในอาคารเก่าแก่ซึ่งห่างไกลนั่น
แต่หลิงหงจินกลับไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร
ปฏิบัติการก่อนหน้ากล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ น่าอัปยศเหลือเกิน ลี่จั้นหนานถูกสังหาร เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็พินาศทั้งกองทัพ
แม้แต่นางก็ถูกศัตรู ‘ลบหลู่’ และ ‘หยามหน้า’ อย่างไร้ยางอาย
นี่ทำให้หลิงหงจินแทบไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร!
ศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่น่าเกรงขาม ผู้กล้าหญิงซึ่งเจิดจรัสหาใครเทียมในหมู่คนรุ่นเยาว์ บัดนี้กลับเผ่นแนบกลับมา ใช้ฐานะผู้พ่ายแพ้ทำการแจ้งข่าวและขอความช่วยเหลือ นี่…
จะให้หลิงหงจินที่นิสัยเย่อหยิ่งเสมอมาเอ่ยปากอย่างไร
บนท้องถนนคนสัญจรดั่งกระแสวารี ขวักไขว่คับคั่งคึกคักยิ่ง
เมื่อเดินผ่านหลิงหงจินที่สูงโปร่งอรชรซึ่งยืนนิ่งตรงนั้น ล้วนเกิดความรู้สึกอัศจรรย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ สงสัยใคร่รู้หาใดเปรียบ
ไม่อาจไม่พูดถึง สาวงามโสภาอย่างนางไม่ว่าอยู่ที่ไหนล้วนต้องดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
ฟุ่บ!
แต่เวลานี้เอง เงาร่างดุจรุ้งเขียวทะลวงเมฆเข้ามาและหยัดยืนบนอากาศ ทั่วร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสทำเอาลมเมฆเปลี่ยนสี
อานุภาพพลังของเขาฮึกเหิมยิ่ง ทั้งตัวราวกระบี่สมบัติไร้เทียมทานออกจากฝัก พลานุภาพดุดันหาใดเปรียบแผ่กระจาย ทำเอาท้องถนนพลันสับสนวุ่นวายทันที
“ศิษย์น้องจางเจิง? นี่เจ้าทำอะไร” หลิงหงจินได้สติ มองเงาร่างองอาจบนอากาศนั่นอย่างประหลาดใจ
“ศิษย์พี่หลิง? เหอะๆ ดูท่าท่านคงล้มเหลวในปฏิบัติการครั้งนี้ดังคาด”
บนอากาศจางเจิงหัวเราะลั่น ผมยาวกระเซิงแผ่สยาย นัยน์ตาวาบประกายสายฟ้าสีม่วงเป็นสายๆ คมปลาบบสยบผู้คน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลิงหงจินในใจสั่นสะท้าน ดวงหน้างามพลันเปลี่ยนแปร คิดว่าเรื่องที่ตนประสบความอัปยศถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว
“เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว เรื่องนี้ยังปิดใครได้อีกหรือ”
จางเจิงยิ้มเยาะ “ศิษย์พี่หลิง การที่ภารกิจล้มเหลวข้ารู้ว่าทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจะปลิดชีพเทพมารหลินนั่นด้วยตนเอง กอบกู้หน้าตาให้ท่าน!”
เทพมารหลินเข้าเมืองมาแล้ว?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์