Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1008

สรุปบท ตอนที่ 1008 เมฆลมประหลาด: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 1008 เมฆลมประหลาด จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1008 เมฆลมประหลาด คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 1008 เมฆลมประหลาด
เมืองแสงอุดรถูกทำลาย บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

เทพมารหลินแสดงแสนยานุภาพ กำราบกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์

การประลองสมบัติอริยะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ช่วงเวลาข้ามคืนข่าวเหล่านี้ดั่งสยายปีก ใช้ความเร็วน่าอัศจรรย์แพร่กระจายทั่วแคว้นกู่ชาง ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล

แคว้นกู่ชางวายุก่อเมฆาซัด ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแตกตื่น รู้สึกตื่นตระหนก

เล่าลือว่ายามเจ้าสำนักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทราบข่าวพวกนี้ เขาที่กำลังถ่ายทอดวิชามรรคก็เขวี้ยงถ้วยชาในมือแตกตรงนั้น กล่าวสี่คำด้วยสีหน้าคล้ำเขียว…

เด็กนี่ต้องตาย!

ไม่นานมีอีกข่าวแพร่ออกมา ทั้งบนล่างของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างเดือดดาล มีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันหลายคนออกจากการปิดด่าน ออกจากสำนักอย่างเงียบเชียบ

ยิ่งมีคนเห็นฉู่เป่ยไห่ซึ่งอยู่ในงานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต ปรากฏตัวหน้าซากปรักหักพังเมืองแสงอุดรในค่ำวันนั้น

คนผู้นี้คือผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั่วร่างถูกวงแสงปกคลุม ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนเป็นที่จับตามอง

แต่บัดนี้เพื่อจัดการเทพมารหลิน เขาถึงขั้นมาเยือนเมืองแสงอุดรด้วยตัวเอง แน่นอนว่าต้องทำให้ผู้คนตื่นตระหนก

ไม่นานก็มีคนแพร่ข่าวอีก เทพมารหลินมุ่งหน้าสู่เมืองวายุทราย หมายใช้ศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่วนหนึ่งที่เขาจับได้ แลกเปลี่ยนโอกาสหนีจากแคว้นกู่ชาง

ทันใดนั้นในเขตแคว้นกู่ชางคลื่นลมโกลาหล ทั่วทิศต่างเคลื่อนไหว

เสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วนดังขึ้นตามที่ต่างๆ ล้วนกำลังสนทนาเรื่อง ‘เทพมารหลิน’

“เมื่อทุกคนต่างไม่เห็นหัวเทพมารหลินที่มาจากแดนฐิติประจิมนี่ เขาก็แสดงอำนาจให้ทุกคนเห็น ช่างร้ายกาจนัก”

“ไม่ต้องสงสัยเลย เทพมารหลินคือบุคคลแห่งยุคที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา ตัวคนเดียวถูกตามล่าตั้งหลายวันยังทำการตอบโต้ สังหารจนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พ่ายไม่เป็นกระบวน ความองอาจนี้สามารถรับสมญา ‘เทพมาร’ ได้แล้ว!”

ไม่ช้าทุกการกระทำในแดนฐิติประจิมของหลินสวินล้วนถูกสายสืบเผ่าวาทวาโยปล่อยข่าวทันที นำมาซึ่งความสั่นสะเทือนมากมายอีกครั้ง ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม รู้สึกยากจะเชื่อ

“ไร้ที่พึ่งพิง โดดเดี่ยวตัวคนเดียว สามารถก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิมได้ เด็กนี่… น่ากลัวจริงๆ!”

“เขาครองเจดีย์สมบัติที่เป็นสมบัติอริยะ เคยรับมือตำหนักอมตะสมบัติพิทักษ์สำนักแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ และเคยต้านการสังหารของทวนทองผลาญตะวัน สมบัติอริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วย”

“แต่สมบัติอริยะเช่นนี้ก็ทำให้แต่ละสำนักโบราณตาร้อนผ่าว คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว แม้ไม่มีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ลงมือ อนาคตก็ต้องถูกขุมอำนาจอื่นเพ่งเล็ง”

“ก็ไม่รู้ว่าภายใต้โทสะของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เจ้าเด็กนี่ยังจะรอดไปได้หรือไม่…”

มีบางคนเสียดาย รู้สึกว่าเทพมารหลินไม่บกพร่องอะไรเลย ขาดเพียงฐานะและที่พึ่งซึ่งสามารถสยบคนอื่นๆ เท่านั้น

หากเขาเป็นผู้สืบทอดที่มาจากสำนักโบราณสักแห่ง สถานการณ์ของเขาคงต่างไปสิ้นเชิง

“แต่ไหนแต่ไรเคยมีบุคคลเจิดจรัสที่ท่องใต้หล้าด้วยตัวคนเดียวอย่างเทพมารหลินมาแล้ว อาศัยเพียงศักยภาพของตนก็ก่อคลื่นลมได้ แต่เมื่อใดที่ผูกพยาบาทกับสำนักโบราณ แทบไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี”

“เดิมยังเฝ้ารอการผงาดง้ำของบุคคลแห่งยุคผู้หนึ่ง แต่ดูท่าตอนนี้เทพมารหลินนี่คงไม่อาจสลัดชะตาที่จะถูกสังหารพ้น”

อะไรเรียกว่าชื่อเสียงสะเทือนฟากหนึ่ง

ก็นี่อย่างไรเล่า หลายวันนี้แม้หลินสวินถูกตามล่า แต่เขากลับใช้ผลงานการต่อสู้นองเลือดพิสูจน์ตนเอง นำมาซึ่งความโกลาหลทั่วแคว้นกู่ชาง กระทั่งทำให้ชื่อเขาแพร่สะพัดจนผู้คนรู้จักในเวลาอันสั้น

แต่มีคุณย่อมมีโทษ เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของหลินสวิน กลับยังมีผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่เห็นงามกับเขา

ว่ากันตามตรงมีเพียงเหตุผลเดียว หลินสวินแม้แข็งแกร่งแต่สุดท้ายยังไม่เติบใหญ่จริงๆ บางทีอาจมากความสามารถในหมู่คนรุ่นเยาว์ แต่สำหรับสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์กลับไม่มีภัยคุกคามอันใด

ซ้ำเขายังหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ที่พึ่ง ทั้งมีสมบัติอริยะติดตัว ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนดึงดูดเคราะห์สังหารมากมายเข้าหา

เหมือนกับคราวนี้ การเคลื่อนไหวที่เขาก่อแม้ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เดือดดาล จะสามารถรอดจากแคว้นกู่ชางหรือไม่ยังเป็นปัญหา!

และก่อนข่าวเหล่านี้จะแพร่สะพัด หลินสวินก็มาถึงเมืองวายุทรายนานแล้ว

หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณยังเหมือนตอนหลินสวินมาครั้งแรก มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังรอบด้าน

ทั้งยังเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

“สวรรค์! เจ้าหมอนี่กลับมาอีกแล้ว…” หยางเฉิงปอเจ้าเมืองวายุทรายถลึงตากว้าง ท่าทางราวเห็นผี

เขาเคยถูกหลินสวินคว่ำในคราเดียว มีหรือจะไม่รู้ความน่ากลัวของเจ้าหนุ่มนี่ กระทั่งเพราะความพ่ายแพ้ย่อยยับคราวนั้นยังทิ้งเงามืดที่ไม่อาจขจัดในใจเขา!

ผู้ฝึกปราณอื่นเองก็หวาดผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

เวลานี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องหลินสวินแสดงแสนยานุภาพที่เมืองแสงอุดร ไม่เช่นนั้นคงตื่นตระหนกยิ่งกว่า

“พวกเจ้าไปเถอะ ที่นี่จะไม่ปลอดภัย” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง ขับไล่ผู้ฝึกปราณพวกนี้โดยตรง

ซ่า…

คำพูดเรียบง่ายประโยคเดียวกลับทำพวกหยางเฉิงปอแตกฮือราวไฟลนก้น หนีไปคนละทิศละทาง

นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งงัน กล่าวกับตัวเอง ‘ข้าน่ากลัวเช่นนี้เชียวรึ’

ผ่านไปหนึ่งเค่อ

หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกหลินสวินวางกระบวนผนึก ‘จตุลักษณ์ราชัน’ เขานั่งสมาธิอยู่ภายในเริ่มสงบใจรอ

แม้แน่ใจว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องยอมรับเงื่อนไขของตนเพื่อไถ่ตัวพวกเสวี่ยเชียนเหินคืน แต่หลินสวินกลับไม่กล้าประมาท

สำนักโบราณแห่งหนึ่งสามารถคงอยู่ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดจวบจนปัจจุบัน เบื้องลึกเบื้องหลังต้องน่ากลัวเหนือจินตนาการแน่

ล่วงเกินพวกเขาคราวนี้ ยากรับรองว่าพวกเขาจะไม่ใช้วิธีพิเศษบางอย่างมาจัดการตน

เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย

รัตติกาลมาเยือน เมืองวายุทรายดูวังเวงหาใดเปรียบ บนท้องถนนซึ่งรุ่งเรืองในอดีตไม่มีคนสัญจรนานแล้ว

วางค่ายกลต้องใช้วัตถุดิบวิญญาณและแกนวิญญาณ แม้ปัจจุบันเขาไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่พอนึกถึงว่าเพียงเพื่อหลบหนีต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนี้ ในใจก็อดจะเจ็บปวดไม่ได้อยู่บ้าง

ซ่า…

ไม่นานนักกระบวนผนึกมายาถูกเปิดใช้ บดบังอาณาบริเวณใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณในชั่วพริบตา หมอกหนาอบอวล ไม่เพียงขวางทัศนวิสัย แม้แต่จิตรับรู้ล้วนไม่อาจสอดแนม

ราตรีมืดสงัด เป็นเวลาก่อนรุ่งสาง

ทุกสิ่งเงียบกริบ ทั้งเมืองวายุทรายประหนึ่งกลายเป็นเมืองร้าง เงียบสงัดแม้แต่เสียงหรีดหริ่งล้วนไม่มี

บรรยากาศกดดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ บนเวิ้งฟ้าปรากฏเงาเมฆหนาทึบชั้นหนึ่งบดบังแสงดาวทั่วนภา

วู้ๆๆ

เสียงลมหวีดหวือดังขึ้นกลางฟ้าดินที่พร่ามัวราวผีร่ำไห้หมาป่าเห่าหอน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ

ทันใดนั้นเงาร่างเจิดจรัสสายหนึ่งปรากฏตรงประตูเมือง ประกายทองเอ่อท้นตลอดร่าง สลายฉากรัตติกาลละแวกใกล้เคียง

คนผู้นี้ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก อาภรณ์ปีกปักษา อิริยาบถดุจหงส์มังกร ระหว่างเยื้องกรายท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทาน เป็นฉู่เป่ยไห่ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี่เอง

เขาสองมือไพล่หลัง ย่างก้าวบนท้องถนนมืดมิด ไม่กี่พริบตาก็มาถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณใจกลางเมืองนั่น

เมื่อเห็นกระบวนผนึกมายาที่หมอกควันอบอวลนี้เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นมุมปากยกโค้งสื่อนัยยากกระจ่างวูบหนึ่ง

“หลินสวิน ข้ามาแล้วตามที่เจ้าปรารถนา” ฉู่เป่ยไห่เปล่งเสียงฉะฉานเสนาะหู สะท้อนก้องในรัตติกาล

ทว่าที่ทำให้เขามุ่นคิ้วคือ กลางกระบวนผนึกมายานั่นกลับไร้คนตอบรับ

ซ่า…

ฉู่เป่ยไห่ยิ้ม พลิกมือหยิบยันต์ผนึกต้องห้ามขนาดราวฝ่ามือออกมา คล้ายหยกแต่มิใช่หยก ด้านบนประทับรอยสลักวิญญาณเร้นลับแน่นหนา

“ปล่อยพวกเสวี่ยเชียนเหินซะ แล้วยันต์นี้จะเป็นของเจ้า” ฉู่เป่ยไห่สีหน้าเรียบเฉย ตั้งแต่ต้นจนจบเห็นได้ว่าเขาผ่อนคลายและนิ่งสงบยิ่ง

แต่ยังคงไร้คนตอบกลับ

ฉู่เป่ยไห่แววตาดุจอสนี จ้องกระบวนผนึกมายาที่ห่างออกไปเขม็ง พลางมุ่นคิ้วกล่าว “ทำไม หรือเจ้าห่วงว่ามีคนดักซุ่ม วางใจเถอะ ในสายตาข้าการช่วยพวกเสวี่ยเชียนเหินกลับมาสำคัญกว่าการสังหารเจ้าตอนนี้!”

น้ำเสียงเจือความปรามาส คล้ายเห็นว่าหลินสวินระวังตัวและใจเสาะเกินไป

ท่ามกลางรัตติกาลมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เยียบเย็นดุจคมดาบ แต่ไม่อาจพัดหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่ากลางกระบวนผนึกนั้นได้

เนิ่นนานไม่ได้รับการตอบกลับ ในใจฉู่เป่ยไห่พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีวูบหนึ่ง

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์