หลี่ชิงผิงพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้ แม้เขาไม่ได้เลินเล่อ แต่ในจิตใต้สำนึกก็มองหลินสวินเป็นคนบาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งไปแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ นี่เป็นการประเมินต่ำไปอย่างรุนแรง
ถึงขั้นที่ยามเขาถูกฆ่ายังอยู่ในสภาพงุนงง
……
“หลินสวิน เจ้าคนต่ำทราม!”
เมื่อการต่อสู้ปิดฉากลง หลินสวินกลับไปบนแท่นมรรคบนยอดเขา ในที่นั้นพลันมีเสียงคำรามด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เดือดดาลหาใดเทียบของหลี่ชิงผิงดังขึ้น
ต่างจากโก่วเหยียนเจินที่ถูกคัดออกเพราะละเมิดกฎ แม้จะถูกฆ่าแต่หลี่ชิงผิงไม่ได้โดนคัดออก ถูกกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ ‘ชุบชีวิต’ ขึ้นมาได้
เวลานี้เขาโกรธจนสั่นระริกไปทั้งตัว กำลังยืนคำรามอยู่บนยอดเขา
เพียงแต่แม้กลับมามีชีวิต พลังปราณของเขากลับอ่อนแอถึงขีดสุด อยู่ในสภาวะหมดพลัง
ทุกคนต่างทอดถอนใจไม่หยุด เข้าใจความเดือดดาลของหลี่ชิงผิงดี หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นถูกสังหารอย่างสับสนงงงวยเช่นนี้ เกรงว่าคงล้วนกราดเกรี้ยวกันทั้งนั้น
หลินสวินก็ถอนหายใจออกมา พูดด้วยสีหน้าเวทนาว่า “หลี่ชิงผิง แพ้ก็แพ้แล้ว เหตุใดถึงยอมรับไม่ได้เช่นนี้ หากข้าเป็นเจ้า ตอนนี้ย่อมรีบเร่งฟื้นฟูพลังกาย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นฉวยโอกาสหาประโยชน์ในความโชคร้ายของเจ้า”
หาประโยชน์ในความโชคร้าย!
สายตาทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด หลี่ชิงผิงก่อนหน้านี้ไม่ใช่คิดฉวยโอกาสในช่วงที่หลินสวินบาดเจ็บหรอกหรือ แต่สุดท้ายกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ที่น่าแปลกที่สุดคือ หลี่ชิงผิงในตอนนี้ถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งกว่าหลินสวินเสียอีก เวลานี้หามีคนไปท้าเขาสู้…
เช่นนั้นย่อมไม่ต่างอะไรกับการเอาความโชคร้ายมาเป็นประโยชน์
ประโยคนี้ของหลินสวินก็ทำให้สายตาของยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่น้อยไหววูบ ประเมินหลี่ชิงผิงอย่างยากจับสังเกตราวกับจดจ้องเหยื่ออยู่
หลี่ชิงผิงทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง สีหน้าบิดเบี้ยวไม่มั่นคง โกรธจนแทบคลั่งแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
“เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
สายตาของเขาจ้องหลินสวินอย่างเคียดแค้นก่อนชักสายตากลับไป สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นั่งขัดสมาธิกับพื้นเริ่มฟื้นฟูพลัง
“ขโมยไก่ไมได้ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ฮ่าๆ” ไกลออกไปอาหลู่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เสียงนั้นทำให้หลี่ชิงผิงโมโหจนจิตใจไม่มั่นคง แทบเจ็บหน้าอก ในใจลอบตั้งมั่นไว้ว่ารอภายหน้าจะต้องหาโอกาสปลิดชีพคนเถื่อนผู้นี้ให้ได้!
แต่ไม่นานนักหลี่ชิงผิงก็แข็งทื่อไปทั้งตัว สมองแทบระเบิด เพราะคนที่ประลองรอบต่อมาเป็นคนเถื่อนอย่างอาหลู่ผู้นี้!
เขารีบร้อนก้มหัวลงจนตาแทบแนบไปกับจมูก จมูกแบนไปกับหน้าอก ในใจลอบอธิษฐานไม่ให้คนเถื่อนผู้นี้ฉวยโอกาสในความโชคร้ายของตน
ใครจะรู้ว่าทันทีที่อาหลู่ขึ้นไปบนสนามประลอง ก็คำรามออกมาอย่างไม่มีรั้งรอว่า “หลี่ชิงผิง ไสหัวออกมาหาปู่เสียดีๆ!”
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล มุมปากกระตุกขึ้น นี่ช่างเป็นสวรรค์มีตา กรรมตามสนองอย่างสาสม คราวนี้หลี่ชิงผิงโชคร้ายแล้ว
หลินสวินแทบจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
หลี่ชิงผิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากเย็น สีหน้าคล้ำเขียวและแข็งทื่อ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ใช้ความแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอสนุกมากมั้ย กล้ารอข้าฟื้นพลังแล้วมาประลองอีกครั้งหรือไม่”
อาหลู่ถ่มน้ำลายออกมาแล้วร้องว่า “ข้าชอบใช้ความแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอ ไม่เช่นนั้นจะเป็นปู่เจ้าได้อย่างไร รีบไสหัวออกมา!”
“เจ้า…” หลี่ชิงผิงโมโหจนแทบกระทืบเท้า
“เจ้าอะไร หลานชาย เจ้าเรียกปู่ของเจ้าเช่นนี้หรือ” อาหลู่ตะโกน
ทั้งลานตื่นตะลึง เจ้าคนเถื่อนผู้นี้เอาเรื่องดีจริง หลี่ชิงผิงจะดีจะร้ายก็เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ไม่กลัวหมางใจกับเขาโดยสมบูรณ์หรือ
“การต่อสู้นี้ข้าขอยอมแพ้!”
หลี่ชิงผิงสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งถึงเก็บกลั้นความเดือดดาลภายในใจไว้ได้ เสียงเหมือนพูดลอดไรฟันออกมา
พูดจบสีหน้าของเขาก็เย็นชาอึมครึมถึงที่สุดแล้ว
ยอมแพ้แล้ว!
ในใจทุกคนสั่นสะท้าน
ทำให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งยอมแพ้อย่างน่าอดสูเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้
“ไอ้ขี้ขลาด! ไอ้สวะ! ไอ้คนไร้ค่า! ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” บนสนามประลอง อาหลู่ไม่พอใจยิ่ง ปากก็เอาแต่เอะอะโวยวาย
เดิมหลี่ชิงผิงก็อัดอั้นตันใจพอดูแล้ว เวลานี้แทบจะโกรธจนลมจับ
การประลองรอบที่สามจบลงอย่างรวบรัดเช่นนี้ พาให้ทุกคนจะหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
แรกเริ่มเดิมทีหลี่ชิงผิงนึกว่าจะสามารถหาเวลาฟื้นฟูพลังได้เล็กน้อย จะคิดได้อย่างไรว่าเยี่ยเฉินที่ออกโรงในรอบที่สี่ก็มายิ้มละไมท้าเขาสู้เสียอย่างนั้น
ชั่วขณะหนึ่งเขาสับสนงงงวยแล้ว
ผู้อื่นก็ต่างสีหน้าพิกล อยากจะหัวเราะแต่ไม่กล้า ข่มกลั้นอย่างลำบากยากเย็น
“เยี่ยเฉิน เจ้าเป็นถึงคนที่มาจากเขาเทพจื่อเวย มีสมญาว่ามารกระบี่ ทำเช่นนี้จะไร้ยางอายเกินไปหรือเปล่า”
หลี่ชิงผิงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว
เยี่ยเฉินยิ้มเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าฝึกก็คือทำตามใจนึก สนใจความคิดของคนอื่นเสียที่ไหน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้เคยพูดหรอกหรือ ว่าภายใต้กฎระเบียบมีเพียงตัวข้าและศัตรู จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ไม่ต่างกัน ทำไมตอนนี้กลับตบหน้าตัวเองเสียล่ะ”
หลี่ชิงผิงถูกย้อนจนแทบหายใจไม่ทัน ความรู้สึกคับข้องในใจสะสมมามากเกินไป ทำให้เขาทนไม่ได้กระอักเลือดออกมา
“ข้า… ยอมแพ้!”
เสียงหลี่ชิงผิงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและขุ่นเคือง ทำให้ผู้ที่ได้ยินหน้าเปลี่ยนสี
จินมู่อวิ๋นกับอวี่หลิงคงเกิดความรู้สึกเห็นใจเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น่าอนาถไปแล้ว หลี่ชิงผิงก็นับเป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎ ฐานะไม่ธรรมดา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์