แดนชัยบูรพา ภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านล้อมรอบด้วยรัศมีสีเขียว
เวลานี้เกิดเสียงตูมขึ้น ตัวภูเขาสูงหมื่นจั้งเต็มๆ ถึงกับผุดลอยจากพื้นดิน จากนั้นพลันทรุดตัวลงด้านหนึ่ง กระแทกจนผืนดินกว้างสะเทือนเลื่อนลั่น หินผาแหลกเป็นเสี่ยง
สัตว์อสูรมารและสิ่งมีชีวิตในพื้นที่หมื่นจั้งไม่รู้ถูกกระแทกตายไปเท่าไหร่
“ฮือๆๆ…”
เบื้องล่างของภูเขาที่พังครืน มีเสียงระลอกหนึ่งปานเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมชาดคนหนึ่งแหงนหน้าน้ำตาไหลพราก
เงาร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ ผมสีเลือดปลิวไสว กลางหว่างคิ้วมีดวงตาแนวตั้งข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสยดสยองหาใดเปรียบ
“สวรรค์ช่างน่าสมเพชนัก ข้าถูกผนึกมาหมื่นปีเต็มๆ! ผู้ใดจะเข้าใจความอัดอั้นของข้า ยังดี มหายุคมาแล้ว! ฮ่าๆๆ…”
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดที่กำลังหลั่งน้ำตาจู่ๆ กลับหัวเราะคลุ้มคลั่งขึ้นมา เส้นผมสีแดงทั่วศีรษะราวกับเพลิงอัคคีกำลังลุกโหม ยามที่ดวงตาตั้งตรงกลางหน้าผากเปิดลืมขึ้นมา ลำแสงเลือดลึกลับก็แผ่พุ่งออกมาประหนึ่งอสูรมารสะท้านโลก
“หมื่นปีนานเกินไป จะไขว่คว้าทุกช่วงเวลา!”
“ข้าเงียบมานานเกินไป มหายุคครั้งนี้ก็ควรถึงคราวข้าออกโรงบ้าง!”
ชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดพึมพำกับตัวเอง แววตาน่าสะพรึง ทั่วร่างพวยพุ่งด้วยกลิ่นอายอสูรชั่วร้าย “หากสามารถเหยียบย่างระดับมกุฎราชันได้ การเก็บตัวเงียบหมื่นปีก็คุ้มค่า!”
“ขอแสดงความยินดีที่นายน้อยออกด่าน!”
ข้ารับใช้คนหนึ่งโรยตัวลงมา นี่เป็นราชันคนหนึ่ง แต่เวลานี้กลับเคารพชายหนุ่มชุดคลุมสีชาดเป็นล้นพ้น
“เฮอะ! หมื่นปีแล้ว ข้ายังคิดว่าตระกูลลืมข้าไปสิ้นแล้ว!”
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดแค่นเสียงเย็น แม้ว่าข้ารับใช้จะเป็นราชัน แต่เขากลับไม่เกรงใจสักนิด
“นายน้อย ตระกูลยกโชควาสนาหมื่นปีทั้งหมดไว้ที่ท่าน เห็นได้ชัดว่าตระกูลให้ความสำคัญกับท่านปานใด หวังว่าท่านอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะขอรับ”
ข้ารับใช้กล่าวอธิบาย
ชายหนุ่มชุดคลุมชาดพูดอย่างเหลืออด “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ข้าไม่เข้าใจเรื่องราวในใต้หล้ามานานมากแล้ว เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อย ทุกวันนี้มีเจ้าคนไหนที่ร้ายกาจที่สุดบ้าง ในใจข้าสะสมความอัดอั้นมามากเกินไป ต้องหาเหยื่อมาระบายก่อนสักสองสามคน”
นิ่งไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเขาทอดมองเวิ้งฟ้า มุมปากผุดเส้นโค้งคมกริบ “ขณะเดียวกันก็ต้องบอกคนทั่วหล้าว่าข้า ชื่อหลิงเซียวกลับมาแล้ว!”
…
พื้นที่อื่นๆ ก็อุบัติเรื่องราวคล้ายคลึงกันขึ้น มีสัตว์ประหลาดบรรพกาลและอัจฉริยะออกด่านไม่ขาดสาย
ก้นภูเขาไฟสีทองลูกหนึ่ง หินหนืดที่เงียบงันไม่รู้กี่ปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเดือดพล่าน
ตูม!
ทันใดนั้นภูเขาไฟพลันปะทุขึ้น คลื่นไฟโหมกระหน่ำแผดเผาเวิ้งฟ้าแถบนี้ สะเทือนเลื่อนลั่นขุมอำนาจฝึกปราณมากมายในเขตแคว้นนี้
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างสั่นสะท้าน ทอดสายตามองมายังที่แห่งนี้
ท่ามกลางเพลิงอัคคีคุกรุ่นกลับมีเงาร่างหญิงสาวสายหนึ่งที่อาบชโลมกลางลมหิมะห้อทะยานขึ้นสู่ห้วงอากาศ ระเบิดแสงหิมะน้ำแข็งหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด แช่แข็งเพลิงอัคคีเหล่านั้นให้มอดดับ!
หญิงสาวคนนี้เรือนผมยาวสีน้ำเงินเข้ม นัยน์ตาสีฟ้าครามดุจน้ำทะเล ปรายตามองภูผาธาราสรรพชีวิตจากเวิ้งฟ้า ประหนึ่งเทพธิดาหิมะน้ำแข็งปรากฏตัวบนโลกหล้าก็ไม่ปาน
กลิ่นอายของนางแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ทั้งที่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติแท้ๆ แต่กลับน่าสะพรึงสุดขีด เพียงพอจะทำให้ระดับกึ่งราชันพากันเข่าอ่อน
“มหายุค… มหายุค…”
ท่ามกลางเสียงพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวเหยียบย่างกลางห้วงอากาศ ทุกๆ ก้าวที่ย่ำเดิน ห้วงอากาศพลันควบแข็งกลายเป็นเส้นทางน้ำแข็งหนาวเหน็บทอดยาวไปสู่แดนไกล
“ตำนานที่บันทึกไว้ในตำราโบราณถึงกับเป็นเรื่องจริง!”
“หลายพันปีก่อนเคยมีธิดาเทพแห่งยุคเก็บตัวเงียบอยู่ที่นี่ เพียงรอฤกษ์งามยามดีที่สุดกลายเป็นราชัน คิดไม่ถึงว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”
“นางชื่ออะไร แล้วมาจากที่ไหน”
“ไม่แน่ชัด ตำราโบราณบันทึกไว้แค่ ‘หลินเสวี่ย’ สองคำนี้!”
คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างพากันอดร้องอุทานไม่อยู่
ไม่กี่วันสั้นๆ ประหนึ่งร้อยบุปผาเบ่งบานตามกัน ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้มีอัจฉริยะลึกลับ สัตว์ประหลาด วิญญาณอสูรมารแห่งยุคตั้งเท่าไหร่ปรากฏตัวขึ้น ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่หลวง
“มหายุคที่ได้รับการจับจ้องจากทุกคนครั้งนี้ใกล้มาเยือนแล้วจริงๆ!”
หลายวันนี้ก็ไม่รู้มีสำนักโบราณทอดถอนใจปลงตกเช่นนี้มากมายเท่าไหร่
…
ส่วนลึกของทะเลหมากดารา
บนเกาะสันโดษ หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนหินผา น้ำทะเลสีเงินที่อยู่ไกลๆ เกิดเป็นลูกคลื่น ผุดรัศมีดาราดุจดั่งหมอกควัน เงียบสงบและไร้อัตตา
โลกภายนอกต่างปั่นป่วนอลหม่าน ดุจดั่งท้องฟ้าวิปริต ทั่วหล้าฮือฮาสะเทือนเลื่อนลั่น
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับหลินสวิน
เขานั่งสมาธิฝึกจิตอยู่ตลอด ราวกับตัดขาดจากโลก เมฆลมโลกภายนอกย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรบกวนความสงบของทะเลหมากดารา
ไม่ช่วงชิงกับโลก ไม่ได้หมายความไม่แก่งแย่งอย่างแท้จริง
มีรุกมีถอย บากบั่นนั้นคือรุก
เมื่ออัจฉริยะ และสัตว์ประหลาดจากต่างยุคสมัยพากันปรากฏตัว หลินสวินกลับประหนึ่งเข้าสู่การจำศีล
เวลาเคลื่อนคล้อย
หนึ่งเดือนผ่านไป หลินสวินลืมตาขึ้นขณะนั่งสมาธิ
บนตัวของเขาปรากฏท่วงทำนองมรรคไร้มรณะที่คลุมเครือและไพศาลสายแล้วสายเล่า
‘มรรคนี้ดุจเตาเพลิงไร้มอดดับ สร้างพลังชีวิตอบอวลทั่วร่าง พาให้กลิ่นอายแห่งชีวิตทั้งภายในและภายนอกร่างกายโคจรอย่างต่อเนื่อง…’
หลินสวินสัมผัสพลัง ‘ท่วงทำนองมรรคไร้มรณะ’ อย่างเงียบๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์