ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพเศษชิ้นส่วนทุกแห่งหน เลือดสีสดแสบตา
จู่ๆ ในอากาศก็อัดแน่นด้วยไอสังหารที่ชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดรุนแรงฉุนจมูก
ภาพนองเลือดแต่ละฉาก ราวกับภาพนรกที่วาดด้วยหมึกดำมากมาย
ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ประหนึ่งเทพสังหารสามองค์ที่อยู่ในภาพนรก ห่อหุ้มด้วยคาวเลือดและไอสังหาร ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เพราะเหตุใด นี่มันที่บ้าบออะไรกัน!”
อูหลิงเฟยและผู้แข็งแกร่งที่เหลือยังคงคำรามอย่างเดือดดาล แต่ประตูตำหนักไม่ถูกสะเทือนแม้สักนิด
“นี่คือดินแดนแห่งศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเผาเซียน เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ ได้ตายที่นี่พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีอย่างมากถึงจะถูก”
เจ้าคางคกยิ้ม ในดวงตาสีทองกลับเย็นเยียบอย่างที่สุด
เขาไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกือบสิ้นชีพก่อนหน้านี้หรอกนะ!
เผาเซียน?
ใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียน’
สีหน้าของพวกอูหลิงเฟยเปลี่ยนไป แม้แต่หัวใจยังสั่นไหว
กระทั่งหลินสวินกับอาหลู่ยังอึ้งเล็กน้อย เผาเซียนหรือ
สรรพนามนี้เผด็จการอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังที่สะเทือนใจคน!
“ทั้งสามท่าน ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย ยินยอมชดเชยอย่างสาสมเพื่อแลกชีวิต ปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
ชายคนที่ผิวพรรณเปล่งประกายสีเขียวอ่อน บนแก้มประทับรอยสักดอกไม้อสูรแปลกประหลาดสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงขรึมขึ้นมา
นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่งในเผ่าไพรปฐพี
“เป็นไปไม่ได้!”
เจ้าคางคกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แม้รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเจ้าคางคกก็ยังทำให้พวกอูหลิงเฟยหัวใจดิ่งวูบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็สู้กันให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!”
จู่ๆ ชายเผ่าไพรปฐพีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในฝ่ามือปรากฏโคมไฟที่สานจากเถาวัลย์สีเหลืองแปลกประหลาด
ทันทีที่ปรากฏ โคมไฟเถาวัลย์เหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางนี่ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ในโคมไฟเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม ราวกับมีเทพไท้ควบคุม!
สมบัติอริยะ!
หลินสวินกับอาหลู่นัยน์ตาหดรัด
แต่เจ้าคางคกกลับยิ้ม มุมปากเผยองศายากจะคาดเดา “เจ้าโง่ ก่อนมาผู้อาวุโสของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า อริยะไม่อยู่ในแดนมกุฎ”
เขาเอามือไพล่หลัง ดูใจเย็นมาก ในสายตาที่จ้องโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนั่นแฝงความเสียดายและทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
แดนมกุฎ ไม่มีอริยะเทพ!
นี่คือกฎเหล็ก
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนมาจากมหาสำนัก ก่อนมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยิน ‘กฎเหล็ก’ ขั้นสูงเช่นนี้
“จะตายอยู่แล้ว ไม่สู้สักหน่อยจะจำยอมได้อย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีสีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“งั้นเจ้าสู้เถอะ”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ แฝงความสงสารเสี้ยวหนึ่ง
สายตานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีทนไม่ไหวทันที เขาส่งเสียงตะโกน จู่ๆ อานุภาพรอบตัวก็ยกระดับขึ้นจนถึงขีดสุด
และในมือเขา โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางก็เปล่งแสงสว่างไสว
โครม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน โคมไฟอันหนึ่งกลับเหมือนจะจุดประกายฟ้าดินโดยรอบ
พวกอูหลิงเฟยต่างถอยหนี สีหน้าอึมครึมสับสน
ห่างออกไปเจ้าคางคกสุขุมเยือกเย็น เพียงแต่สื่อจิตถึงหลินสวินกับอาหลู่ ‘แดนมกุฎไม่มีอริยะ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายอริยะ เมื่อใช้ล้วนถูกลบล้าง! ในสมัยบรรพกาลเคยเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว’
ระหว่างที่พูดผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีนั่นโจมตีออกมาแล้ว โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา ขับให้สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดและดุดันเป็นพิเศษ
แน่อนอนว่าเขาเองก็รู้กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะ มิฉะนั้นคงใช้สมบัติอริยะต่อสู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอมาถึงตอนนี้
แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้ว กลายเป็นหมาจนตรอก ฝากความหวังทั้งหมดบนสมบัติอริยะในมือ ในใจรู้สึกโชคดี
ถ้า… ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ล่ะ?
หมาจนตรอกยังกระโดดข้ามกำแพงไปได้อย่างไม่คาดคิด แล้วนับประสาอะไรกับคน
ครืน!
เพียงแต่ไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
ทันทีที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏ ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎระเบียบไร้รูปสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านขึ้นในอากาศกะทันหัน
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหยุดหายใจ ในใจหวาดกลัว ทั้งยังมีความรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกราบกับพื้น!
เหตุผลอยู่ที่ว่าพลังกฎระเบียบนี้สูงส่งและไร้เทียมทานเกินไป น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญหน้ากับมันก็เหมือนมดตะนอยแหงนมองเทพ!
ฉ่า!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นดับลง
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งเสียงคำรามออกมา กระตุ้นโคมไฟเถาวัลย์เหลืองเต็มกำลัง
เพียงแต่ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึงของทุกคน สมบัติอริยะที่มีอานุภาพเทียมฟ้าและที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนกระดาษที่แสนเปราะบาง
จากนั้นก็แปรเป็นละอองแสงศักดิ์สิทธิ์งดงาม
สุดท้ายเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งลูบในอากาศ ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไม่มีการปะทะที่ดุเดือดสะเทือนฟ้าดิน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะดิ้นรนใดๆ
อยู่เบื้องหน้าพลังกฎระเบียบที่ไร้รูปนั่น สมบัติอริยะที่เพียงพอจะสยบโลกชิ้นหนึ่งได้ถูกทำลายไปเช่นนี้!
ทุกคนหนาวสะท้านไปทั้งร่างราวกับร่วงลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
นี่เป็นพลังกฎระเบียบที่ไร้ที่เปรียบและน่ากลัวเพียงใด
นั่นเป็นถึงสมบัติอริยะ!
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสมปรารถนา!
ฉัวะ!
ดาบหักที่สั่งสมพลังมานานแล้วโฉบพุ่งออกมา กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้กวาดออกไป ราวกับการเปลี่ยนแปลงมหามรรคลงมาเยือน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไม่อาจคาดเดา
ฮูม
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อีกาทองที่ยังไม่เคยสังหารมาก็ถูกเฉือนปีกข้างหนึ่ง ฝนเลือดสาดกระเซ็น
อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ฉวยโอกาสนี้กระแทกศีรษะของอีกาทองจนแหลก
องค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานได้จบชีวิตลงเช่นนี้!
“ฆ่า!”
คนอื่นๆ แม้จะหมดหวังแต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมนอนรอความตาย ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งปราดขึ้นมา
เพียงแต่นี่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ฟุ่บ!
ชายในชุดคลุมเงินถูกหลินสวินชิงสังหารไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายถูกเฉือนเป็นสองท่อนล้มลงบนพื้น เลือดสดไหลพรู
ร่างเดิมของเขาปรากฏออกมา เป็นนกเสวียนสีเงินตัวหนึ่ง
และในเวลาเดียวกันอีกด้านมีเสียงกึกก้องไม่หยุด เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งสองร่วมมือกัน มีท่าทีว่าจะกวาดล้างทุกอย่าง
ไม่นานก็มีคู่ต่อสู้อีกคนถูกฆ่า ร่างกายถูกตีจนระเบิด ฝนเลือดปลิวว่อน
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก หรืออาหลู่ ล้วนไม่มีทางออมมือ
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกปิดล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สั่งสมความแค้นจนเต็มอกมานานแล้ว จะยอมออมมือได้อย่างไร
เพียงแค่ชั่วขณะห้าคนที่เหลือก็ถูกพวกหลินสวินร่วมแรงกันโจมตีสังหาร เลือดกระเด็นเต็มพื้น ก่อนตายแต่ละคนล้วนแฝงความไม่จำยอมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่ยังไม่จบ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังมีคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยถูกโจมตีจนหมดสติไป สูญเสียพลังต่อสู้แต่กลับยังไม่ตาย
ไม่รอหลินสวินออกคำสั่ง อาหลู่และเจ้าคางคกก็เคลื่อนไหวตรวจสอบสนามรบ สังหารคู่ต่อสู้ที่ยังเหลือรอดเหล่านั้น
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
เขารู้ว่าอาหลู่และเจ้าคางคกต้องการระบาย ก่อนหน้านี้ทั้งสองถูกปิดล้อม เผชิญกับความสิ้นหวัง ในใจสั่งสมความเคียดแค้นไม่น้อย
และพอเห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ในใจหลินสวินเองก็มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้ามาในตำหนักเพลิงเทพนี้ ล้วนก้าวเดินบนมกุฎมรรคาแล้ว ถูกขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนฝากความหวังเอาไว้ มีความหวังที่จะทะลวงสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน
ในโลกภายนอกพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะเทือนฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยการตายของพวกเขา ทุกอย่างที่มีก่อนตายล้วนถูกกำหนดให้ไม่คงอยู่
นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค โหดร้ายมาก!
หลินสวินรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่ถูกฆ่าวันนี้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีชื่อเสียงและความหวังมากเพียงใด ตายไปก็ต้องมลายหายไปทั้งหมด
เรื่องในทำนองนี้ ในอนาคตจะยังเกิดขึ้นอีก!
……………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์