ถานไถหลิ่วมีทุนทรัพย์ให้หยิ่งทะนงจริงๆ เพียงคนเดียวก็บีบจนผู้แข็งแกร่งคนอื่นเข้าใกล้ไม่ได้ เกือบต้านทานไม่อยู่ พลังต่อสู้เป็นเลิศ
คนที่เข้าใจจะรู้ดีว่าในสำนักเอกอุ หวังเสวียนอวี๋คือบุคคลขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งที่เจิดจรัสที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ถูกมองเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของสำนัก
แต่ถานไถหลิ่วก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ นอกจากชื่อเสียงที่โด่งดังสู้หวังเสวียนอวี๋ไม่ได้ แต่หากกล่าวถึงรากฐานพลังและพลังต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวังเสวียนอวี๋เลยแม้แต่น้อย!
ที่สำคัญกว่าคือ เขาเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่ง!
ตูม!
บนหินไตรภพถานไถหลิ่วสู้กับศัตรูรอบทิศเพียงลำพัง เขาสวมชุดคลุมพญางูสีเหลืองสว่างราวกับบุตรแห่งสวรรค์ แต่ละกระบวนท่าไม่มีท่าใดที่ไม่สาดแสงมรรคบาดตา
เสียงปึงดังสนั่น ไม่นานศัตรูคนหนึ่งก็ถูกกำราบ ถูกฝ่ามือหนึ่งของถานไถหลิ่วฟาดหน้าอกลอยกระเด็น
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ท่าทางตกที่นั่งลำบาก
“ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าไม่มีโอกาส!”
ถานไถหลิ่วสีหน้าไม่สะทกสะท้าน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมาดมั่น
แววตาเขาดุจสายฟ้า กวาดสายตาไปยังจุดอื่น “ยังมีพวกหนูที่ซ่อนตัวในความมืดอีก ฉวยโอกาสก่อนที่ข้าจะโกรธรีบไสหัวไปจะดีที่สุด!”
เสียงดั่งฟ้าคะนอง ทำให้สีหน้าผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนในความมืดเปลี่ยนไปเล็กน้อย
บนหินไตรภพผู้สืบทอดของสำนักเอกอุไม่ได้มีแค่ถานไถหลิ่วคนเดียว ยังมีอีกสี่คนนั่งครองรอบทิศ แต่ล้วนไม่ได้ลงมือ
เพราะแค่ถานไถหลิ่วคนเดียวก็พอที่จะกำราบทั้งลานแล้ว!
หลินสวินสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ว่าผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในที่ลับตัดสินใจยอมแพ้ จากไปอย่างเงียบเชียบ
แต่ก็มีบางส่วนรั้งอยู่ เห็นชัดว่าไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้
“หึ ไม่รู้จักดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”
ถานไถหลิ่วแค่นเสียงเย็นชา ระเบิดแสนยานุภาพทันที เพียงพริบตาก็กำราบศัตรูไปสองคน ทั้งลงมือปลิดชีพทั้งคู่อย่างเหี้ยมโหด!
‘เจ้าหมอนี่เหมือนกับอูหลิงเต้า ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่งแล้ว มิน่าถึงกล้ามองเหล่าผู้กล้าราวสิ่งไร้ค่า’
นัยน์ตาดำของหลินสวินไหววูบ
พร้อมกันนี้ข้างหูเขามีเสียงสื่อจิตหนึ่งดังขึ้น ‘ข้าน้อยหวังจื่ออิงแห่งสำนักกระบี่ศาลเหลือง ยินดีที่ได้พบสหายยุทธ์หลิน’
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ในจิตรับรู้สืบพบว่าในซากปรักหักพังที่ห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มสวมชุดบัณฑิตขาวหิมะคนหนึ่งยืนอยู่
‘มีอะไรพูดมาตรงๆ’
หลินสวินรู้ว่าสำนักกระบี่ศาลเหลืองนี้คือสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่งในแดนดาราอุดร
‘พวกเราอยากร่วมมือกับสหายยุทธ์หลินขับไล่สำนักเอกอุออกไป ร่วมปันคัมภีร์โบราณหินสลักนั้นด้วยกัน ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์หลินคิดอ่านประการใด’
หวังจื่ออิงพูดตรงๆ
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีพลังจิตรับรู้อย่างน้อยหกสายจับจ้องตนอยู่
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของจิตรับรู้เหล่านี้เป็นพวกของหวังจื่ออิง คิดอยากร่วมมือกับตนจัดการพวกถานไถหลิ่วด้วยกัน
‘สหายยุทธ์หลิน เจ้าตัวคนเดียว แม้พลังต่อสู้ไม่ธรรมดา แต่หากคิดแย่งชิงคัมภีร์โบราณนั่นเกรงว่าคงยากนัก’
หวังจื่ออิงเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ ‘หากร่วมมือกับพวกเรา ไม่เพียงแต่ได้หยั่งรู้คัมภีร์โบราณนั่นด้วยกัน ยังจะได้รับ ‘ไมตรี’ ของพวกเราด้วย’
เดิมทีหลินสวินยังใคร่ครวญบ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็มุ่นคิ้วทันที
เห็นหลินสวินไม่กล่าววาจา หวังจื่ออิงคล้ายไม่พอใจอยู่บ้าง ‘สหายยุทธ์หลิน โอกาสมาถึงแล้ว หวังว่าเจ้าจะตัดสินใจโดยเร็ว มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวยามพวกเราลงมือเกรงว่า…’
หลินสวินกล่าว ‘เกรงว่าอะไร’
แววตาหวังจื่ออิงฉายแววเย็นเยียบ ‘เกรงว่าพวกเราคงได้เป็นศัตรูไม่ใช่สหายแล้ว’
น้ำเสียงเจือกลิ่นอายข่มขู่คล้ายมีคล้ายไม่มี
หลินสวินเข้าใจในทันที เกรงว่าพวกหวังจื่ออิงคงไม่อยากร่วมมือกับตนแต่แรก
สาเหตุที่อยากดึงตนเป็นพวก ก็แค่ห่วงว่าตนจะสอดมือเข้าไปแย่งด้วยเท่านั้น
‘พี่หลิน เจ้าฝึกปราณมาอย่างยากลำบาก สามารถประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ได้ทำให้พวกเราชื่นชมอย่างยิ่ง แต่หากเจ้าดึงดันทำตามใจ ผลที่ตามมาเกรงว่าคงไม่ดีนัก’
หวังจื่ออิงกล่าว ‘เอาอย่างนี้แล้วกัน ขอแค่เจ้ารับปากว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ เฝ้ามองอย่างเดียวก็จะได้รับ ‘ไมตรี’ ของพวกเราเช่นกัน’
เขาพูดว่องไว เพราะการโรมรันบนหินไตรภพใกล้ปิดฉากลงแล้ว!
‘มิตรภาพของพวกเจ้า…’
มุมปากหลินสวินโค้งเป็นรอยยิ้ม ‘มีค่าเท่าไหร่กัน ในเมื่อเจ้าพูดจาชัดเจน เช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าอย่างไม่มีปิดบังว่าจากไปตอนนี้ยังทัน มิฉะนั้นอีกเดี๋ยวทันทีที่เปิดศึก อยากจะหนีคงไม่ง่ายอย่างนั้นแล้ว’
‘เจ้า!’
หวังจื่ออิงสีหน้าขรึมทันที ในใจโมโหยิ่งนัก เขาคิดว่าตนยอมอ่อนน้อมถ่อมตัวแล้ว ใครจะคิดว่าเทพมารหลินนี่จะไม่รับน้ำใจแม้แต่น้อย!
พวกพ้องของหวังจื่ออิงอดยิ้มเย็นในใจไม่ได้ เทพมารหลินนี่โอหังเหมือนข่าวลือจริงๆ
คิดจริงหรือว่าล้างบางภูเขาแดนมงคลไม่กี่ลูกแล้วจะไม่สนอะไรเลยได้
‘ไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดี!’
ครู่ใหญ่หวังจื่ออิงจึงแค่นเสียงเย็นชา
วาจานี้ไม่เกรงใจกันแล้ว
หลินสวินเห็นดังนี้ ในดวงตาดำพลันฉายแววเย็นเยียบ ไม่พูดอะไรมากอีก เขาหยัดร่างขึ้น เงาร่างเผยออกมาจากความมืด
‘หืม?’
สีหน้าหวังจื่ออิงอึมครึมถึงขีดสุดทันใด เจ้าหมอนี่คิดเป็นศัตรูกับพวกเขาจริงรึ
‘พี่หวัง อย่างนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ให้เทพมารหลินปะทะสำนักเอกอุ ก็เหมือนนกปากซ่อมสู้กับหอยกาบ ส่วนพวกเราแค่รอรับประโยชน์อย่างชาวประมงก็พอแล้ว’
มีคนหัวเราะเบาๆ เผยความตื่นเต้นยินดีออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์