Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1381

สรุปบท ตอนที่ 1381 ฟ้าสว่างแล้ว: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1381 ฟ้าสว่างแล้ว – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 1381 ฟ้าสว่างแล้ว ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ท้องฟ้ายามราตรีดุจดั่งน้ำหมึก นี่คือความมืดมิดก่อนรุ่งอรุณ

ขวับ!

สายตาทุกคู่ต่างมองไปนอกตำหนักเฉียนหยวนโดยไม่ได้นัดหมาย

ที่นี่คือพระราชวัง เป็นสถานที่ทรงอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ส่วนตำหนักเฉียนหยวนยังเป็นศูนย์กลางอันสำคัญยิ่ง

เช่นเดียวกันที่นี่ก็มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากมาย ลึกล้ำยากหยั่งถึง ดั่งเสือหมอบมังกรซุ่มเช่นเดียวกัน

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ในหมู่พ่อมดเถื่อนยังไม่อาจเข้าใกล้พระราชวังได้แม้แต่ก้าวเดียว จะประชิดตำหนักเฉียนหยวนยิ่งอย่าได้พูดถึง

แต่ในค่ำคืนดึกสงัดปานนี้ จะมีใครกล้าเปิดประตูใหญ่ของตำหนักเฉียนหยวนอย่างเสียมารยาทเช่นนี้ได้

จากนั้นเหล่าขุนนางในตำหนักต่างเผยสีหน้าตื่นตระหนก เข้าใจถ่องแท้แล้ว

นอกตำหนักมีเพียงเงาร่างงามร่างหนึ่งยืนอยู่ตามลำพัง แต่งกายด้วยชุดฝ่ายในสีม่วงเข้มทั้งตัว ผมยาวราวน้ำหมึกเกล้าเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้าขาวสะอาดงามกระจ่างเกินธรรมดา

ร่างของนางอ้อนแอ้นอรชร แม้ตัวคนเดียว แต่ยืนอยู่เช่นนั้นก็เหมือนราชันผู้สูงส่งองค์หนึ่ง ท่าทางโอหังเหนือสี่สมุทร สามารถสยบมวลชน

จ้าวจิ่งเซวียน!

พระธิดาสายตรงในองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี ถูกมองว่าเป็นไข่มุกในฝ่ามือของจักรวรรดิ เป็นผู้กล้าหญิงในจักรวรรดิที่แท้จริงผู้หนึ่ง!

ในราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ หากว่าด้วยใครเป็นโอรสธิดาที่ได้รับความรักและความเชื่อถือจากจักรพรรดิที่สุด ย่อมเป็นจ้าวจิ่งเซวียนอย่างไร้ข้อกังขา

เพียงแต่การปรากฏตัวของนางกลับทำให้ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว!

ต่อให้เป็นจ้าวจิ่งเหวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ตอนนี้ยังตกใจลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงหลงว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในตำหนักกังขา

ถ้าพวกเขาจำไม่ผิด องค์หญิงผู้นี้ก็ออกจากจักรวรรดิไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ว่ากันตามหลัก นางก็ควรจะกลับมาโลกชั้นล่างไม่ได้ถึงจะถูก!

“ถ้าข้าไม่กลับมา เกรงว่าเจ้าจ้าวจิ่งเหวินจะต้องจัดพิธีศพให้ทั้งจักรวรรดิถึงจะยินยอมกระมัง”

ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนสงบนิ่ง มีความน่าเกรงขาม

นางเดินเข้าไปในตำหนัก ทันใดนั้นเหล่าขุนนางก็พากันหลีกทางให้ ถึงขั้นไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นจับจ้อง

สาเหตุก็ง่ายดาย กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของจ้าวจิ่งเซวียนแม้ไร้รูปร่าง แต่กลับมีพลังกดข่มสรรพชีวี ทำให้เหล่าขุนนางในตำหนักหวาดหวั่นจนทำได้เพียงก้มหน้า!

นี่ถึงจะเรียกได้ว่ายอมก้มหัวศิโรราบให้อย่างแท้จริง

“พี่หญิงใหญ่ นี่ท่านพูดอะไรกัน”

เมื่อมองดูจ้าวจิ่งเซวียนที่เดินมาทีละก้าว จ้าวจิ่งเหวินก็หายใจติดขัด รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูป จิตใจสั่นระรัวจนไม่อาจควบคุมได้

เขาลอบตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่พบกันแค่สิบกว่าปีเท่านั้น พี่หญิงใหญ่ที่เสด็จพ่อโปรดที่สุดผู้นี้ของตนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

ความสง่างาม อานุภาพ และท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น คล้ายความสง่างามของเสด็จพ่ออยู่สามส่วน!

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าบัลลังก์ที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดนั้น จ้าวจิ่งเซวียนก็หยุดเดิน เนตรกระจ่างสงบนิ่ง แต่เจือไปด้วยความน่าเกรงขามชวนหวั่นใจ

“ลิงสวมมงกุฎ ลงมา”

ประโยคเดียวทำให้แก้มของจ้าวจิ่งเหวินแดงก่ำ ท่ามกลางสายตาจับจ้องของเหล่าขุนนางในตำหนัก เขากลับถูกมองว่าเป็น ‘ลิงสวมมงกุฎ’!?

สิ่งนี้เป็นความอัปยศใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัย!

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกัดฟันพูดว่า “พี่หญิงใหญ่ ก่อนเสด็จพ่อจากไป ได้รับสั่งให้ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการ ควบคุมราชการแผ่นดิน ท่านไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้า!”

ปึง!

เสียงพูดเพิ่งเงียบลงตัวเขาก็ซวนเซแล้วล้มลงไปนั่งกับพื้นด้านข้าง ในขณะเดียวกันพลานุภาพน่าครั่นคร้ามก็กดบนร่างเขาอย่างรุนแรง ทำให้ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจลุกขึ้นได้

ด้านจ้าวจิ่งเซวียนเดินไปนั่งบนบัลลังก์หลังนั้นตามสบาย ยื่นนิ้วมือผุดผ่องเรียวบางไปเคาะบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าแล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะเป็นผู้สำเร็จราชการ”

เอ่ยอย่างเบาสบายประโยคเดียว ก็ทำให้เหล่าขุนนางในตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสีทันที รับรู้ได้ว่าองค์หญิงใหญ่องค์นี้ถึงกับจะชิงอำนาจ!

“ทำไม พวกเจ้ามีความเห็นหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนหรี่ตาลง ทั้งตำหนักต่างถูกอานุภาพน่าหวาดหวั่นปกคลุม บีบคั้นให้เหล่าขุนนางหายใจยังลำบาก เสียวสันหลังวาบ

“พวกกระหม่อมมิกล้า!”

ทันใดนั้นก็มีคนโค้งกายถวายคำนับ

คนอื่นต่างพากันกุมมือสวามิภักดิ์โดยพลัน

ใครไม่รู้บ้างว่าผู้ที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นจากจักรพรรดิมากที่สุด ก็คือองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียน

เทียบกับนางแล้ว องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินไม่นับเป็นอะไรเลย ด้วยว่ากันถึงแก่นแล้ว อำนาจสั่งการของจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ยังคงเป็นของจักรพรรดิ

ตอนนี้จักรพรรดิไม่อยู่ เช่นนั้นไม่ว่าจะฟังบัญชาจ้าวจิ่งเซวียนหรือองค์ชายสามก็ไม่แตกต่างอะไร

แต่แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งและฐานะ ในใจของเหล่าขุนนางเอนเอียงไปทางจ้าวจิ่งเซวียนมากกว่าจ้าวจิ่งเหวินอย่างเห็นได้ชัด

พอเห็นเหล่าขุนนางก้มหัวสวามิภักดิ์ให้จ้าวจิ่งเซวียน จ้าวจิ่งเหวินก็แทบสติแตก ร้องเสียงดังว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ ตำแหน่งนี้เป็นของข้า! ของข้า!”

ปึง!

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวหวั่น นางสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวจ้าวจิ่งเหวินก็สลบลงไปนอนกับพื้น

“ทหาร พาองค์ชายสามออกไป รอเขาฟื้นแล้วก็ส่งเขาไปเฝ้าสุสานราชวงศ์ หากข้าไม่อนุญาต ไม่ให้ออกมาจากสุสานราชวงศ์อีกแม้แต่ก้าวเดียว!”

ทันทีที่จ้าวจิ่งเซวียนบัญชาก็เท่ากับเหยียบองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินไว้ใต้เท้าอย่างสมบูรณ์ สูญเสียอำนาจทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง

ทันใดนั้นทหารยามกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว นำองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินออกไป

ยามเห็นภาพนี้เหล่าขุนนางก็เข้าใจถ่องแท้ว่า กำลังพลภายในพระราชวังถูกจ้าวจิ่งเซวียนควบคุมไว้นานแล้ว

มิเช่นนั้นทหารเหล่านั้นจะเชื่อฟังเช่นนี้ได้อย่างไร ไอลีนโนเวล

เมื่อมองดูสตรีผู้รวมความงดงามและน่าเกรงขามไว้ในคนเดียวซึ่งนั่งหลังตรงบนบัลลังก์กลางตำหนักผู้นั้น ในใจทุกคนต่างล่วงรู้

ตั้งแต่คืนนี้ไป ทุกเรื่องในจักรวรรดิจะมีองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนเป็นผู้ชี้ขาด!

“องค์หญิง คืนนี้ตระกูลจั่วและฉิน…”

“เรื่องราวโดยละเอียดก็มอบให้ทุกท่านร่างแผนการ หลังจากข้าตรวจสอบและอนุมัติ ให้ประกาศใช้ลงไปก็พอ”

จ้าวจิ่งเซวียนลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก

“น้อมส่งองค์หญิง!”

เหล่าขุนนางต่างก้มหัว กระทั่งเงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียนค่อยๆ หายลับไปจากนอกตำหนักเฉียนหยวน พวกเขาถึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ สีหน้าแตกต่างกันไป

“คิดไม่ถึงเลยนะ…”

บางคนทอดถอนใจ สีหน้าซับซ้อน

คืนนี้เกิดเรื่องราวมากมายเกินไปแล้ว กระทั่งตอนนี้พวกเขายังรู้สึกเหมือนฝันไป

เริ่มจากหลินสวินกลับมา ลุยเดี่ยวสังหารคนตระกูลจั่วและฉินจนหัวขาดกระเด็น เข่นฆ่าจนนครต้องห้ามสั่นสะท้านด้วยท่วงท่าไร้ศัตรูทัดเทียม

จากนั้นองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินก็ถูกชิงอำนาจปกครอง หมดอำนาจโดยสมบูรณ์ และองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนก็ก้าวขึ้นมาสำเร็จราชการ

เรื่องใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่นต่อเนื่องนี้ล้วนเกิดขึ้นในคืนนี้ แม้จะสมองดีแค่ไหน ตอนนี้ยังรู้สึกออกจะไม่พอใช้เสียแล้ว

“ตั้งแต่นี้ไป เกรงว่าในนครต้องห้ามคงเหลือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแค่ห้าตระกูลแล้วกระมัง”

มีคนพึมพำ

“ในคืนเดียวจักรวาลเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าแปรผันเสียแล้ว!”

มีคนทอดถอนใจ

“ทำไมข้าได้ยินว่าตอนนั้นองค์หญิงใหญ่กับหลินสวินเป็นสหายที่สนิทสนมกันไม่เลว”

มีคนเอ่ยถ้อยคำแปลกชอบกล แต่กลับทำให้เหล่าขุนนางต่างครุ่นคิด

หลินสวินกลับจักรวรรดิมาในวันนี้ องค์หญิงใหญ่ก็คล้ายจะกลับมาวันนี้เช่นกัน หรือพวกเขาสองคนกลับมาด้วยกัน

ถ้าเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนต้องไม่ธรรมดานัก!

อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าท่าทีขององค์หญิงใหญ่ในคืนนี้เท่ากับยืนอยู่ข้างตระกูลหลิน ยืนอยู่เบื้องหลังหลินสวินอย่างโจ่งแจ้ง!

‘ดูท่าภายหน้าต้องพิจารณาความสัมพันธ์กับตระกูลหลินใหม่เสียแล้ว…’

หลายคนไตร่ตรองอยู่เงียบๆ

……

ในขณะเดียวกัน แขนเสื้อหลินสวินปลิวไสว แปรสภาพเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งร่วงลู่ลงมาในตำหนักของยอดเขาชำระจิต

คืนนี้เขาเข่นฆ่าตลอดทาง สังหารศัตรูคู่แค้นจนสิ้น!

ความแค้นที่สั่งสมไว้ในใจก็ได้ระบายออกโดยสมบูรณ์แล้ว

ตอนนี้หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาตามลำพัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็เห็นว่าในส่วนลึกของราตรีนิรันดร์นั้น แสงอรุณสาดส่องให้ฟ้าสางเหมือนดาบคมตัดขาดรัตติกาล

ฟ้า สว่างแล้ว

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์