Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1383

สรุปบท ตอนที่ 1383 โชคชะตา: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 1383 โชคชะตา จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1383 โชคชะตา คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

วันนี้เจ้าเย็นชาไม่แยแสข้า วันพรุ่งข้าจักอยู่สูงกว่าจนเจ้าเทียบไม่ได้!

แม้ประโยคนี้จะดูสามหาวไปหน่อย แต่ใช้บรรยายตระกูลหลินในปัจจุบันก็เหมาะกับสถานการณ์ดี

ผู้นำตระกูลจากตระกูลขุมอำนาจมากมายในนครต้องห้ามต่างข่าวไวทั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้น ณ ตำหนักเฉียนหยวนในวังต่างก็รู้ดี

ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่ครองอำนาจสูงสุด ควบคุมราชการแผ่นดิน ก็ได้ลิขิตให้ตระกูลจั่วและฉินต้องสูญสิ้นลงเท่านี้แล้ว

และใครก็รู้ดีว่าองค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ฝั่งตระกูลหลิน!

ในสถานการณ์เช่นนี้ขอเพียงมีสมองอยู่บ้าง ต่างรู้ดีว่าต่อแต่นี้ไปตระกูลหลินจะไม่อาจต้านทานได้ ไม่มีใครกล้าท้าทายอีก

วันนี้ทั้งนครต้องห้ามกำลังสั่นสะเทือน หวาดผวากับการเข่นฆ่าในคืนเดียวของหลินสวิน สายตาของขุมอำนาจนับไม่ถ้วนต่างรวมอยู่ที่ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต มองไปยังบุคคลในตำนานผู้นั้น

ตอนนั้นคนผู้นั้นมีอำนาจทั่วนครหลวง

ทว่าเป็นเพียงผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์เท่านั้น

แต่ตอนนี้เขาใช้การลบชื่อสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉิน รวมทั้งหัวของผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคน พิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า…

เขาหลินสวินคนเดียว สามารถเหยียบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงไว้ใต้เท้าได้อย่างสบาย!

……

ด้านหลังยอดเขาชำระจิต

ที่ตั้งศาลบรรพชนตระกูลหลิน ไอหมอกอบอวล เย็นเยียบเงียบสงัด

หลินสวินยืนอยู่หน้าป้ายบรรพชนตระกูลหลินเพียงลำพัง นิ่งเงียบไม่พูดจา

ตะเกียงนิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่าฉายแสงพร่างพร้อย ขับเน้นให้เงาร่างสันโดษของเขาให้ความรู้สึกอ้างว้างเพิ่มขึ้น

บนป้ายวิญญาณเหล่านั้นมีชื่อของท่านปู่ทวดเต้าเฉิน ท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ รวมถึงเหล่าญาติสายตรงทั้งหมด

ช่างคุ้นเคย แต่ก็แปลกหน้านัก

เพราะไม่เคยได้พบหน้ากัน

แต่หลินสวินรู้ว่าในฐานะคนตระกูลหลิน ฐานะบุตรชายของหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวิน มีบางเรื่องที่เขาต้องแบกรับไว้

เช่นการแก้แค้น

‘อวิ๋นชิ่งไป๋ตายไปแล้ว เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง คนร้ายหลังม่านที่แท้จริงเป็นกึ่งจักรพรรดิซึ่งมาจากดินแดนโบราณยอดหยิน เขาชื่อปาฉี ภายหน้าข้าจะไปตามหาเขา…’

‘ความจริงของคดีนองเลือดครั้งนั้น ข้าจะสืบให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง!’

หลินสวินพึมพำในใจ

เขายืนตรงนี้อยู่นานราวกับรูปปั้นไร้ชีวิตตัวหนึ่ง

จนกระทั่งสนธยาย่ำค่ำ อาทิตย์อัสดงยอแสง

เพียงแต่ชั่วพริบตานั้นที่เดินออกมาจากศาลบรรพชน เขาก็พูดกับตัวเองในใจว่า ‘ที่จริงข้าไม่คิดว่าพวกท่านจะจากไปแบบนั้นมาโดยตลอด… ข้าจะหาคำตอบให้ได้’

ภายใต้อาทิตย์อัสดง ดวงตาดำของหลินสวินสงบนิ่ง ไม่สุขไม่ทุกข์

ไกลออกไปมีเสียงระลอกแล้วระลอกเล่าแว่วมา เสียงเหล่านั้นคือเสียงร้องเปรมปรีดิ์ของคนตระกูลหลิน

……

สรุปแล้วคืนนั้นเกิดเรื่องใหญ่สองเรื่อง

เรื่องแรกคือหลินสวินกลับมา ตัวคนเดียวก็เหยียบย่ำทำลายตระกูลจั่วและฉิน ฆ่าผู้นำตระกูลทรงอิทธิพลสิบเก้าคน ปั่นป่วนคลื่นลมในนครต้องห้าม

เรื่องที่สองคือองค์หญิงใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนครอบครองอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ ควบคุมอำนาจสั่งการแทนองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวิน

แต่ผลกระทบที่สองเรื่องนี้สร้างขึ้น กลับเพิ่งเริ่มแผ่ขยายเท่านั้น

ในช่วงเวลาต่อมา

ในนครต้องห้าม ขอเพียงเป็นขุมอำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินสองตระกูล ล้วนประสบกับการโจมตีชนิดทำลายล้าง

ขอเพียงเป็นขุมอำนาจที่เคยโจมตีตระกูลหลิน ก็จะได้รับการแก้แค้นทุกขนาน ไม่ตายสิ้นซากก็ถูกขับไล่

ผู้ที่จัดการทุกอย่างนี้อยู่เบื้องหลังก็คือจ้าวจิ่งเซวียน ส่วนผู้ที่ออกเคลื่อนไหวคือกำลังคนที่มาจากขุมอำนาจต่างๆ ในนครต้องห้าม

เช่นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกห้าตระกูลนอกจากตระกูลจั่วและฉิน หรือกำลังคนจากตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางและล่างตระกูลอื่นๆ ในนครต้องห้าม

เมื่อยักษ์ใหญ่ทั้งสองล้มลง ใครจะไม่ถือโอกาสกัดกินอย่างฉกาจฉกรรจ์ได้

แม้ตระกูลหลินไม่ได้เคลื่อนกำลังเท่าไร แต่กลับกลายเป็นผู้ได้รับชัยชนะมากที่สุด อย่างน้อยไม่ว่าจะไปแบ่งผลประโยชน์ของตระกูลจั่วและฉินที่ไหน ต่างก็ต้องเตรียม ‘ของกำนัลอย่างงาม’ ให้ตระกูลหลินไว้ส่วนหนึ่ง

จนกระทั่งว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งเดือน กิจการที่ตระกูลหลินมีอยู่ในครอบครองก็สั่งสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา

ภูเขาแร่ คฤหาสน์ ชีพจรปราณวิญญาณ สมบัติ ทรัพย์สินมากมาย… เพิ่มพูนขึ้นในบัญชีตระกูลหลินไม่หยุดหย่อนเหมือนสายน้ำไหล

“อิทธิพลของตระกูลหลิน ไม่อาจต้านทานได้แล้ว!”

นี่เป็นการทอดถอนใจของขุมอำนาจและผู้คนทั้งมวล

เรื่องที่เกิดขึ้นที่นครต้องห้ามในคืนนั้นก็แพร่กระจายไปในแต่ละเขตของจักรวรรดิ ก่อให้เกิดเสียงตื่นตระหนกและฮือฮาไม่รู้เท่าไรในเวลาต่อมา

ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่กองทัพสัตว์อสูรมารที่กำลังก่อเภทภัยไปทั่วในเขตแดนต่างๆ ของจักรวรรดิเหล่านั้นยังล่วงรู้เรื่องเหล่านี้ และจดจำชื่อของหลินสวินเอาไว้

ผู้นำสัตว์อสูรมารที่มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ราชันงูม่วง’ ถึงกับยิ้มเอ่ยว่า “แทบอยากให้ในจักรวรรดิมีเรื่องทำนองนี้มากขึ้นอีก!”

เพราะการต่อสู้ภายในของผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์นี้ ที่สิ้นเปลืองไปก็คือกำลังในจักรวรรดิ

และการล่มสลายของตระกูลจั่วและฉินก็หมายความว่า กำลังชั้นสูงสุดในจักรวรรดิก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดตามไปด้วย ในฐานะศัตรูของจักรวรรดิ สำหรับขุมอำนาจสัตว์อสูรมารเหล่านั้นแล้วย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี

เช่นเดียวกัน ในพื้นที่ชายแดนต่างๆ ของจักรวรรดิ

หลังจากรู้ข่าวคราวเหล่านี้เข้า กองทัพพ่อมดเถื่อนเก้าสายที่กำลังรุกรานจักรวรรดิอย่างหนักเหล่านั้นต่างก็ทอดถอนใจ รู้สึกยินดีที่ผู้อื่นประสบภัย ฟ้าเบื้องบนเป็นใจให้ตน

จักรวรรดิสะเทือน ผู้ที่ได้ประโยชน์มีเพียงศัตรู

นี่เป็นเหตุผลที่ทุกคนรู้ดี

“องค์หญิง ต้องการสืบว่าใครปล่อยข่าวลือพวกนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาขุ่นมัวของชายชราฉายแววคมกริบ

“ไม่ต้องหรอก”

จ้าวจิ่งเซวียนใคร่ครวญเล็กน้อยก็ลุกขึ้นยืนจากด้านหลังโต๊ะ เดินไปนอกตำหนัก “ข้าจะไปหาหลินสวินเอง”

ส่วนในใจนางลอบพึมพำว่า ‘ข้าลำบากลำบนถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคนอย่างเจ้าดันนิ่งเฉยอยู่บนภูเขาชำระจิตมาตลอด ไม่ได้การ จะปล่อยให้เจ้าสบายเกินไปไม่ได้แล้ว…’

……

ภูเขาชำระจิต

ต้นสนเขียวขจีดุจร่ม เมฆคล้อยนวยนาด ทะเลเมฆโรยตัวลงมากลางชะง่อนผาด้านหนึ่งราวน้ำตก

หลินสวินสีหน้าเหม่อลอย เอนตัวอยู่บนเก้าอี้หวายตัวหนึ่ง ในมือถือน้ำเต้าเปลือกเขียวผลหนึ่ง ภายในน้ำเต้าบรรจุสุราชั้นเลิศไว้

หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดิน ยุ่งง่วน คึกคัก เจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน

หลินสวินเฝ้าดูอยู่ แต่ไม่ได้แทรกแซง

เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนให้พวกหลินจง พญาแร้ง หลินไหวหย่วนมาจัดการ ตัวเขากลับอยู่ว่างๆ

พูดกันตามจริง เขาก็จัดการเรื่องจุกจิกเหล่านี้ไม่เก่ง

แต่หลินสวินไม่ได้ทำตัวว่างตลอดเวลา ฝึกมกุฎมรรคาทั้งสามสายอย่างหลอมกาย หลอมปราณและหลอมจิตอยู่เป็นนิตย์

ขณะเดียวกันเขายังขยันฝึกคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ตอนนี้บ่มเพาะไอกระบี่ไท่เสวียนออกมาได้หนึ่งพันสามร้อยสายจากในจุดชีพจรหนึ่งพันสามร้อยจุดบนร่างแล้ว

ไอกระบี่ทุกสายต่างมีอานุภาพยิ่งยง การฟูมฟักไว้ในจุดชีพจรก็เหมือนได้รับการหล่อหลอมและยกระดับในเตาหลอมกระบี่เสมอ

‘โชคชะตา… โชคชะตา…’

ยามมองดูเมฆคล้อยบนท้องฟ้า หลินสวินที่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้หวายจมสู่ภวังค์

ตอนนี้พลังปราณของเขาบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ใกล้จะรับการมาถึงของด่านเคราะห์ที่แปด ‘เคราะห์โชคชะตา’

แต่กระทั่งตอนนี้เขายังไม่รู้สึกถึงเค้าลางของการเลื่อนระดับทะลวงเคราะห์เลย

ตั้งแต่สมัยอยู่ในแดนมกุฎ หลินสวินก็รู้แล้วว่าหากต้องการทะลวงเคราะห์โชคชะตาต้องเสาะหาจากตัวเอง ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับมาภูเขาชำระจิตในโลกชั้นล่าง

เพราะเขาถือกำเนิดที่นี่ โชคชะตาของเขาจึงเกิดขึ้นที่นี่ด้วย อยากทะลวงด่านเคราะห์นี้ ย่อมต้องกลับมาที่ต้นกำเนิด

‘ภูเขาชำระจิตเป็นสถานที่กำเนิดของข้า แต่กลับไปเติบโตที่คุกใต้เหมืองนั้นแห่งนั้น จนกระทั่งได้พบห้องโถงมรรคาสรรค์ ถึงทำให้ข้ามีโอกาสเปลี่ยนชะตาชีวิตเย้ยฟ้า เหยียบย่างลงบนวิถีแห่งการฝึกปราณที่แท้จริง…’

หลินสวินพลันรับรู้ได้ว่า พลังโชคชะตาที่ว่านั้นอาจจะมีมาตั้งแต่ตอนที่ตนถือกำเนิดแล้ว แต่หลังจากตนเติบโตขึ้นกลับเกิดการพลิกผันไปครั้งหนึ่ง!

ความพลิกผันครั้งนี้ เป็นเพราะห้องโถงมรรคาสวรรค์!

แววตาของหลินสวินพลันแปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เงาร่างชราร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง ‘ท่านลู่ ท่านเป็นใครกันแน่…’

‘แล้วห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้… ท่านไปหามาจากไหนกัน’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์