สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1396 การยั่วยุของราชันอสูรมาร – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 1396 การยั่วยุของราชันอสูรมาร ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เมืองหมอกอำพราง
หลินเสวี่ยเฟิงมองหลินสวินด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ท่านกลับมาเร็วขนาดนี้เชียว”
นับดูแล้วหลินสวินเพิ่งออกไปแค่สองวันเท่านั้น
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง เอ่ยถามว่า “จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวของราชันอินทรีแดงอีกหรือ”
หลินเสวี่ยเฟิงส่ายหน้า “ฝั่งใต้เท้าซ่งผู้บังคับการมณฑลตรวจสอบข่าวราชันอินทรีแดงอยู่ตลอด แต่ป่านนี้ก็ยังไม่พบอะไรเลย”
หลินสวินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดมากความอะไร
“จริงสิ นี่คือรายงานส่วนหนึ่งที่ใต้เท้าซ่งส่งมาให้ช่วงเช้า”
หลินเสวี่ยเฟิงหยิบม้วนหยกออกมายื่นให้หลินสวิน “ผู้นำตระกูล ท่านลองดูสิ เพราะเรื่องที่สังหารราชันเกราะทอง ตอนนี้ภายในจักรวรรดิอึกทึกครึกโครมกันหมด ราชันอสูรมารส่วนหนึ่งต่างพากันประกาศก้อง ช้าเร็วต้องให้ท่าน…”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ให้ข้าทำไม”
หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวอึกอัก “ท่านดูเอาเองดีกว่า”
หลินสวินคลี่ม้วนหยกออก อ่านผ่านๆ ครู่หนึ่งคิ้วพลันเลิกขึ้นทันที กล่าวแค่นหัวเราะว่า “ข้ากำลังเตรียมการไปสังหารเดรัจฉานชั่วพวกนั้นอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเรียกร้องขึ้นมาก่อน”
จิตสังหารไร้รูปแผ่กว้าง ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิงหายใจติดขัด หนาสะท้านขึ้นมา สัมผัสได้ว่าผู้นำตระกูลเกรงแต่จะเริ่มเข่นฆ่าครั้งใหญ่แล้ว!
……
“หลินสวินนี่อยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว มาดูกันว่าเขาจะกระโดดโลดเต้นได้อีกกี่วัน!”
นี่คือเสียงแค่นหัวเราะจากพญาอสูรมารที่ถูกขนานนามว่า ‘ราชันมังกรดิน’ ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ
เรื่องนี้ก่อคลื่นมรสุมขึ้นมาในจักรวรรดิทันที
หลินสวินเพิ่งสังหารราชันเกราะทอง เหยียบเขาวิญญาณหยินราบคาบไปไม่นาน อานุภาพแกร่งกล้าปานใด ในเวลาเช่นนี้ถึงกับยังมีราชันอสูรมารกล้ายั่วยุเช่นนี้อีก นี่ย่อมทำให้ผู้คนประหลาดใจเป็นธรรมดา
“ราชันมังกรดิน ลือกันว่าเป็นไส้เดือนยักษ์ที่กินโคลนตมดำรงชีวิตฝึกปราณจนแจ้งมรรค ถึงกับกล้าคุยโวปานนี้ ช่างหน่ายจะมีชีวิตแล้วชัดๆ!”
“ตัวกินโคลนตม แม้แต่ปากยังเหม็นเน่าเป็นที่สุด คำพูดของเขามีแต่ผีเท่านั้นที่เชื่อ”
ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิมากมายพากันแสดงความเห็น คิดว่าราชันมังกรดินนี่กำลังรนหาที่ตายแท้ๆ
จากการสนทนาเหล่านั้นก็สังเกตได้ไม่ยาก ทั่วทั้งจักรวรรดิต่างเชื่อมั่นในตัวหลินสวินอย่างที่สุด วางท่าดูหมิ่นถิ่นแคลนต่อคำพูดของราชันมังกรดิน
“เหอะๆ ความตายอาจมาช้าแต่ไม่เคยขาดหายไป เมื่อหลินสวินตาย หวังว่าพวกเจ้าเผ่ามนุษย์หน้าโง่ทั้งหลายจะยังยิ้มออกกันอยู่!”
ไม่ทันไร ‘ราชันผึ้งขาว’ ก็กล่าวออกมา ทำให้บรรยากาศทั่วจักรวรรดิเปลี่ยนไปในทันที ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเริ่มรู้สึกฉงน
ราชันผึ้งขาว นี่เป็นถึงหนึ่งในสิบพญาราชันอสูรมารที่มีชื่อเสียงที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ สิบกว่าปีมานี้ ผู้แข็งแกร่งระดับราชันของจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือราชันผึ้งขาวมีมากกว่าสิบคน!
ลือกันว่ากายเนื้อของราชันผึ้งขาวเป็นสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาล พรสวรรค์น่าสะพรึงอย่างที่สุด ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในศัตรูที่อันตรายที่สุดในรายงานของจักรวรรดิ
ตอนนี้แม้แต่ราชันผึ้งขาวก็ยังแสดงออกอย่างแข็งกร้าว ตั้งท่าขัดแย้งกับหลินสวิน จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างไร
หลังจากนั้นก็มีราชันอสูรมารชื่อเสียงเหี้ยมโหดอีกหลายตนกล่าวออกมา ดูแคลนและประกาศเตือนหลินสวิน ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งจักรวรรดิเริ่มหนักอึ้งและเคร่งขรึมขึ้นมา
เช่น ‘ราชันหลอมเพลิง’ ที่ปักหลักในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ เอ่ยคำพูดแสนเรียบง่าย “หลินสวินนี่ ต้องพินาศ!”
หรืออย่างเช่น ‘ราชันแพะดำ’ ที่ปักหลักในมณฑลเว่ยสุ่ยก็กล่าวด้วยไอสังหารทะยานฟ้าว่า “ยามกำจัดเจ้าเด็กหลินสวินนี่ได้ ทุกชีวิตในจักรวรรดิอย่างพวกเจ้าก็รอถูกชำระเลือดแล้วกัน!”
ชั่วขณะเดียวคลื่นลมในใต้หล้าพลันเปลี่ยนไป เพราะเสียงประกาศเลื่อนลั่นของราชันอสูรมารแต่ละตนทำให้จักรวรรดิสะท้านสะเทือนตามไปด้วย แต่ละพื้นที่ไม่สงบ
ผู้คนนับไม่ถ้วนหวั่นวิตก สัมผัสได้ว่าหายนะใหญ่ยิ่งที่พุ่งเป้าเล่นงานหลินสวินกำลังจะมาแล้ว!
“คราวนี้ยุ่งยากแล้ว ต่อให้คุณชายหลินกร้าวแกร่งปานใด แต่สองหมัดยากจะต่อการสี่มือ ยามนี้ถูกราชันอสูรมารจ้องเล่นงานมากขนาดนี้ สถานการณ์น่าวิตกนัก”
ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งทอดถอนใจปลงตก
“เห็นได้ชัดว่าเพราะเรื่องที่คุณชายหลินสังหารราชันเกราะทอง ทำให้ราชันอสูรมารพวกนั้นได้กลิ่นภัยคุกคาม ดังนั้นจึงเห็นคุณชายหลินเป็นเป้าหมายที่ต้องกำจัด”
“ก็จริง ตอนนี้คุณชายหลินอำนาจบารมีพุ่งผงาด หากเขาไม่ตาย ราชันอสูรมารพวกนั้นต้องกินไม่ได้หลับไม่ลงแน่ แต่หากคุณชายหลินตายไป นั่นก็เป็นการโจมตีอันหนักหน่วงหาใดเปรียบต่อจักรวรรดิของพวกเรา!”
ในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ ทุกแห่งหนล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ข่าวพวกนี้
แม้แต่ในวังหลวงจ้าวจิ่งเซวียนเองก็ยังตื่นตระหนก ไม่อาจไม่เรียกรวมตัวขุนนาง หารือว่าควรรับมือกับคลื่นมรสุมลูกนี้อย่างไร
“ราชันอสูรมารพวกนี้ช่างวางโตนัก! อยู่ในเขตแดนจักรวรรดิเรายังกล้าแยกเขี้ยวกางเล็บเช่นนี้ เห็นจักรวรรดิของเราไม่มีตัวตนอย่างนั้นหรือ”
ในตำหนักเฉียนหยวนมีคนฉุนเฉียว เสนอให้ระดมพลังทั้งหมดของจักรวรรดิไปสู้ตัดสินกับราชันอสูรมารพวกนั้น
“องค์หญิง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินเป็นอันขาด ตอนนี้จักรวรรดิของพวกเราไม่เพียงแต่เผชิญหน้ากับหายนะของสัตว์อสูรมารเท่านั้น ในพื้นที่ชายแดนยังมีพ่อมดเถื่อนเก้าสายจับจ้องเหมือนเสือรอตะครุบเหยื่ออยู่ หากเลือกเปิดศึกเต็มรูปแบบโดยไม่สนใจสิ่งใดเพราะหลินสวินเพียงคนเดียว เช่นนั้นผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ”
มีคนห้ามปราม เสนอให้จ้าวจิ่งเซวียนคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
“องค์หญิง ในความคิดกระหม่อมเรื่องราวยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ไม่สู้… รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีหรือไม่”
“รอดูสถานการณ์? นี่ไฟไหม้ลามถึงขนคิ้วแล้ว ยังจะรอดูสถานการณ์กับผีสิ!”
“มาๆๆ เจ้าว่าข้อเสนอของข้าใช้ไม่ได้ ไหนเจ้าลองเสนอแผนการวิเศษเลิศล้ำคลี่คลายอันตรายตรงหน้านี้หน่อยสิ”
กลางตำหนักใหญ่ชุลมุนวุ่นวาย เหล่าขุนนางมากคนก็มากความ โต้เถียงกันจนหน้าแดงก่ำคอเป็นเอ็น จ้องกันด้วยสายตาโกรธเคือง ไม่มีใครยอมใคร
ปึง!
จ้าวจิ่งเซวียนตบฝ่ามือลงบนโต๊ะทำงานฉาดหนึ่ง
เหล่าขุนนางหุบปากทันควัน เงียบปานจักจั่นหน้าหนาว บรรยากาศในตำหนักใหญ่ขึงขังขึ้นมา
“แค่การข่มขู่ของเดรัจฉานชั่วกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ก็ทำให้พวกเจ้าลนลานเสียกระบวนแล้ว หากแพร่งพรายออกไปไม่กลัวคนจะหัวเราะเยาะเอาหรือ”
เมืองมากมายล้วนเปลี่ยนสภาพเป็นซากปรักหักพัง กองทัพใหญ่ของจักรวรรดิที่ประจำการอยู่ที่นี่ล้วนต่อสู้กับสัตว์อสูรมารที่อาละวาดรอบทิศพวกนั้นไม่เว้นแต่ละวัน
เมืองเขี้ยวโลหิต
หลายวันก่อนเคยมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นที่เมืองนี้ กองทัพใหญ่ของจักรวรรดิพ่ายแพ้ ทำให้เมืองนี้ถูกยึด ยามนี้มีสภาพพังทลาย
เพียงแต่ในวันนี้กลับมีขบวนผู้ฝึกปราณราวๆ เจ็ดแปดคนปรากฏตัวขึ้นในเมืองนี้
ผู้นำเป็นชายชุดดำรูปร่างผอมสูง ใบหน้าเด็ดเดี่ยว
“จากข่าวที่ข้าสืบรู้มา ในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองนี้มีราชันอสูรมารตนหนึ่งครองพื้นที่ เป็น ‘ราชันไก่ฟ้าโลหิต’ หนึ่งในสิบพญาราชันอสูรมารบริวารของราชันค้างคาวดำ อานุภาพไม่อาจดูเบา”
ชายชุดดำเอ่ยปากเสียงต่ำลึก
ผู้ฝึกปราณข้างกายเขาเหล่านั้นมีทั้งชายหญิง ท่าทางล้วนดูหนุ่มสาวยิ่ง แต่กลิ่นอายกลับดุดันและเจนจัดชัดเจน ทั่วกายแผ่กลิ่นอายอำมหิต เห็นได้ชัดว่าเป็นมือฉมังที่ผ่านสนามรบมานาน
ยามสายตาพวกเขามองไปทางชายชุดดำซึ่งเป็นผู้นำ ต่างเจือแววเคารพยำเกรงที่มาจากก้นบึ้งหัวใจไม่มากก็น้อย
“เพื่อความปลอดภัย พวกเจ้าก็คอยอยู่ที่นี่แล้วกัน ราชันไก่ฟ้าโลหิตนั่นให้ข้าจัดการคนเดียวก็พอแล้ว”
ชายชุดดำออกคำสั่ง
“ใต้เท้า!”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างตกใจยกใหญ่ “ราชันไก่ฟ้าโลหิตนั่นทรงพลังกร้าวแกร่ง ซ้ำยังมีกองทัพใหญ่หลายแสนในครอบครอง ท่านจะไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวได้อย่างไร แม้จะฆ่าศัตรูก็ต้องพาพวกเราไปด้วย”
ในมุมมองพวกเขา การกระทำครั้งนี้ของชายชุดดำนั้นสิ้นคิดและบุ่มบ่ามเกินไป ท่าทางเหมือนจะสู้จนตัวตายอย่างสิ้นเชิง
ชายชุดดำโบกมือห้ามไม่ให้ทุกคนเอ่ยปาก สายตาทอดมองไปทางเมืองเขี้ยวโลหิตที่เหลือสภาพเป็นซากปรักหักพัง หว่างคิ้วผุดความเศร้าสลดและเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ ข้าโตมาในเมืองนี้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ พี่น้อง และคนในตระกูลข้า… ล้วนต้องมาตายในหายนะเมื่อหลายวันก่อนกันหมด แค้นนี้มีหรือข้าจะไม่ชำระได้”
ขณะพูดดวงตาเขาแดงก่ำ แค้นจนกัดฟันจวนจะหัก
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างตะลึงงัน พวกเขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้เรื่องราวก็มีสาเหตุเช่นนี้เอง
“พวกเจ้ายังเด็ก ยังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดินในภายหน้า ฟังข้า จงอยู่ที่นี่ให้หมด ศึกครั้งนี้ให้ข้าเป็นคนสู้เอง!”
ชายชุดดำสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหนักแน่นหาใดเปรียบ
“ยังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ‘ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!’ ภัยสัตว์อสูรมารนี้ย่อมไม่อาจล้มจักรวรรดิของพวกเราได้ และพวกเจ้า จะต้องถอดคราบผงาดง้ำในการต่อสู้ กลายเป็นเสาหลักของจักรวรรดิในภายภาคหน้า!”
กล่าวจบชายชุดดำก็ตั้งท่าจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็คล้ายสัมผัสถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้าขึ้นขวับ
ก็เห็นยานสมบัติลำหนึ่งไม่รู้ว่าปรากฏเหนือเวิ้งฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ บนหัวยานเงาร่างสายหนึ่งยืนตระหง่าน กำลังทอดสายตามองมา
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์