Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1420

‘ละทิ้งมหามรรค ฝึกตนเองตามลำพัง’

‘ในโลกชั้นล่างไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้!’

นี่เป็นคำวิจารณ์ต่อ ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’ เจ้าของเรือนโอบดารานิทราบุหลันของจ้าวไท่ไหลในตอนนั้น

ตอนนี้พอคิดถึงผู้อาวุโสคนนี้ หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่ากึ่งจักรพรรดิปาฉีที่เคยพาอวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนโลกชั้นล่างในตอนนั้น เคยพูดว่าในโลกชั้นล่างมีระดับจักรพรรดิที่แท้จริงดูแลอยู่ด้วย

และเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้ กลับไม่มีคนสามารถฆ่าได้…

ระดับจักรพรรดิที่ปาฉีพูดถึงจะใช่เฒ่าโดดเดี่ยวหรือไม่

คิดถึงตรงนี้สีหน้าของหลินสวินก็แปลกไปอย่างอดไม่ได้ ผู้เฒ่าในตอนนั้นมีความสามารถขนาดนี้จริงๆ หรือ

“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย”

หลินสวินเองก็หวั่นไหวแล้ว อดประหลาดใจไม่ได้

แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่ไปพบเฒ่าโดดเดี่ยวก็เพื่อไปยังสมรภูมิกระหายเลือด

ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลินสวินกลับโลกชั้นล่างคราวนี้ เป้าหมายสูงสุดก็คือแสวงหาวิธีบรรลุมกุฎอริยะ

ตอนนั้นจักรพรรดิก็เคยพูดว่า ในโลกชั้นล่างมีจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สามารถทำให้หลินสวินบรรลุอริยะได้

ตอนนี้จักรพรรดิและจักรพรรดินีรวมถึงพวกคนน่ากลัวในจักรวรรดิได้จากไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มุ่งหน้าไปยังสมรภูมิกระหายเลือด

นี่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนคาดเดาว่า คำว่าจุดเปลี่ยนบรรลุอริยะ บางทีอาจจะอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด

หลินสวินไม่ลืมว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดนั่นมีพื้นที่ที่แปลกประหลาดและอันตรายอย่างที่สุดแห่งหนึ่ง…

ป่าต้นหม่อน!

ตรงนั้นมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่ลึกลับยืนตระหง่านเสียดฟ้า จักจั่นทองตัวหนึ่งอยู่บนนั้น แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายสูงส่งคลุมเครือ ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

และมีจักจั่นขาวที่เลือดเย็นเหี้ยมโหดเช่นกัน เสียงร้องเดียวก็สามารถเขย่าจนท้องฟ้าแตกแยก ทำให้สิบทิศล้วนตกตื่น

มีผีเสื้อราตรีสีเลือดกลิ่นอายดุจดั่งอริยะ กางปีกอยู่ในหมอกหนา

มีเจียวหลงสีเขียวมรกตร่างยาวถึงพันจั้ง จำศีลอยู่ใต้ดิน ลูกตาลึกล้ำราวกับจักรวาล เผยปรากฏการณ์น่ากลัวปานสุริยันขึ้นจันทราลับขอบฟ้า กาลเวลาผันเปลี่ยน

มีทวนศึกแตกหักที่วิเศษอัศจรรย์ทะลวงกลางอากาศ ราวกับเทพสงครามสิงร่าง มีดอกไม้สีทองแปลกประหลาดแผ่ประกายกระบี่สีทองมากมายออกมากรีดแทงฟ้าดิน…

หลินสวินยิ่งไม่มีวันลืม ยามเขาไปจากป่าต้นหม่อน ที่นั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง มีแสงเมฆสีเขียวมากมายควบรวมเป็นดอกไม้ร่วงหล่นจากท้องฟ้า

ตำหนักมรรคเก่าแก่ลึกลับปรากฏในโลก เพียงแค่บันไดก็มีถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นแล้ว ราวกับบันไดสู่สวรรค์!

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตำหนักมรรคบดบังฟ้าดิน ศักดิ์สิทธิ์รุ่งโรจน์ ทำให้พื้นที่ลึกลับส่วนลึกของป่าต้นหม่อนนั่นย้อมไปด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ชั้นหนึ่ง

ทุกอย่างล้วนดูลึกลับ!

ก่อนที่หลินสวินจะกลับโลกชั้นล่างก็เคยคาดเดาคร่าวๆ ว่า หากบอกว่าโลกชั้นล่างซ่อนจุดเปลี่ยนของการบรรลุมกุฎอริยะ ก็น่าจะต้องอยู่ในสองแขตแดน

หนึ่งคือ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ นั่นเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล ลึกลับและน่ากลัวที่สุด

อีกหนึ่งคือป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือด ก็มีร่องรอยอริยะเทพที่เหลือเชื่ออยู่เช่นกัน

และเมื่อได้รู้ว่าเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งจักรวรรดิอย่างจักรพรรดิ จักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ต่างมุ่งหน้าไปสมรภูมิกระหายเลือดตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกว่า ที่ที่พวกเขาไปมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็น ‘ป่าต้นหม่อน’!

……

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครต้องห้าม ในเขตห่างไกลและเงียบสงบแห่งหนึ่ง

เรือนที่เรียบง่ายแห่งหนึ่งตั้งอยู่ภายใน บนประตูเรือนมีป้ายแขวนไว้ว่า…

เรือนโอบดารานิทราบุหลัน

ลายมือบิดเบี้ยวเหมือนผลงานที่เด็กน้อยเขียนอย่างไก่เขี่ย ทำให้ทนมองไม่ได้

เมื่ิอมาถึงที่นี่จ้าวจิ่งเซวียนอดสงสัยไม่ได้ว่า “ที่นี่จริงๆ หรือ”

หลินสวินมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง สีหน้าแฝงแววหวนระลึกเล็กน้อย กล่าวว่า “ที่นี่จริงๆ ตอนนั้นข้าก็คิดไม่ถึงว่าชื่อที่ดูมีกลิ่นอายเซียนขนาดนี้จะเป็นร้านอาหารได้อย่างไร…”

นึกถึงตอนนั้น เขาในตอนนั้นยังมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น

ตอนนี้หลังจากผ่านมาหลายปีเขาได้เป็นมกุฎราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ชื่อเสียงในตอนนี้ไม่เพียงแค่กระจายไปทั่วจักรวรรดิ ยิ่งกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในใจพ่อมดเถื่อนเก้าสายแล้ว

สิ่งที่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนประหลาดใจคือ ตอนที่พวกเขาเข้าสู่เรือนโอบดารานิทราบุหลัน กลับพบว่ามีแขกอยู่แล้ว

บนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งมีอาหารวางอยู่สี่จาน เหล้ากาหนึ่งและจอกเหล้าอีกสองใบ

ข้างโต๊ะไม้คนแก่ที่เผ้าผมกระเซอะกระเซิงรูปร่างซูบผอมนั่งอยู่ เป็นเฒ่าโดดเดี่ยวที่อารมณ์ฉุนเฉี่ยวนั่นเอง

ไม่เจอหลายปีเขายังคงมีท่าทางพิกลอารมณ์ร้าย ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

ตรงข้ามเฒ่าโดดเดี่ยวก็มีคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่เช่นกัน สวมชุดคลุมสีเทา ผมและเคราสีขาวขุ่น รอยย่นบนใบหน้าราวกับหุบเหว ดูแก่ชราอย่างมาก

เขานั่งตัวตรง บนร่างกายสั่งสมกลิ่นอายของกาลเวลา ให้ความรู้สึกมากประสบการณ์ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่กระจ่างใสประหนึ่งทารก ชัดเจนจนเหมือนสามารถสะท้อนความลับในส่วนลึกที่สุดของใจคนได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวหรือชายชราผู้นั้น กลิ่นอายล้วนธรรมดามาก คนทั่วไปเห็นแล้วก็คงไม่หยุดมองแม้แต่แวบเดียว

ทว่าพลังปราณของหลินสวินในตอนนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แวบเดียวก็ดูออกว่ากลิ่นอายของเฒ่าโดดเดี่ยวแม้จะธรรมดา แต่ในจิตรับรู้ของเขากลับไม่สามารถจับกลิ่นอายและเงาร่างของอีกฝ่ายได้เลย!

พูดอีกอย่างคือ หากหลับตาลง ด้วยพลังจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเฒ่าโดดเดี่ยวได้ กลิ่นอายของเขาราวกับไม่คงอยู่ อัศจรรย์อย่างมาก

และกลิ่นอายของชายชราอีกคนก็เหมือนผิวน้ำสงบนิ่ง ดูเหมือนนิ่งสนิทไร้สิ่งแปลกปลอม กลับให้ความรู้สึกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับห้วงอากาศว่างเปล่า!

ชายชราคนนี้หลินสวินก็รู้จักเช่นกัน ราชครูเฒ่าแห่งหอดูดาวหลวง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์