“ชน!”
เสียงตะโกนระลอกหนึ่งดังลั่นขึ้นในท้องฟ้าสีรัตติกาล จากนั้นจอกเหล้าชนเข้าหากัน เหล้าสีเหลืองอำพันส่ายไปมา ส่งกลิ่นรุนแรงออกมา
ภูเขาเมฆาคราม ในโถงที่แสงสว่างไสวแห่งหนึ่ง กลุ่มสหายที่สานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างพวกหลินสวิน หนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี กงหมิงมารวมตัวกัน
บนพื้นกองเต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าที่ดื่มหมดไปแล้ว
ในห้องโถงทุกคนต่างสายตาพร่ามัว ใบหูร้อนผ่าว พูดคุยกันอย่างออกรส
นี่เป็นวันที่สี่ที่หลินสวินมาถึงภูเขาเมฆาครามแล้ว
ระหว่างสนทนาหลินสวินก็ได้รู้ว่า ตอนนั้นเดิมทีพวกสืออวี่ หนิงเหมิงจะไปที่ดินแดนรกร้างโบราณ แต่สุดท้ายกลับถูกคำสั่งของจักรวรรดิหยุดไว้
ไม่เพียงแค่พวกเขา ตอนนั้นบรรดาลูกหลานชั้นนำของตระกูลทรงอิทธิพล สำนักศึกษามฤคมรกต ค่ายกระหายเลือด รวมถึงกองทัพแห่งจักรวรรดิล้วนไม่สามารถไปยังดินแดนรกร้างโบราณได้
แต่ถูกส่งตัวมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้
“ตอนนั้นพวกข้าจากไปอย่างเร่งรีบเกิน และเรื่องนี้ก็เป็นความลับของจักรวรรดิ จึงไม่สามารถบอกเจ้าล่วงหน้าได้”
สืออวี่ถอนหายใจ “แต่ไม่เคยคิดว่าสิบกว่าปีผ่านไป ในที่สุดพวกเราพี่น้องก็กลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง น่าทอดถอนใจจริงๆ ทำให้ข้าอดนึกถึงกวีบทหนึ่งไม่ได้ ”
“หยุด! ข้าไม่อยากฟังเจ้าท่องกลอนหรอกนะ ดื่มๆ!”
หนิงเหมิงตะโกนลั่น
สืออวี่กลอกตาใส่ พูดอย่างไม่อภิรมย์ “หยาบคาย!”
คนอื่นๆ เองก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้
“แต่น่าเสียดายที่หลี่ตู๋สิงยังไม่ฟื้น…”
กงหมิงถอนหายใจคราหนึ่ง ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในโถงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“แม่งเอ๊ย ถ้าข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ จะสับมันเป็นชิ้นๆ!”
หนิงเหมิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
คนอื่นๆ เองก็ไอสังหารพวยพุ่ง
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ความแค้นนี้ จะต้องชำระ!”
……
กลางดึกหลินสวินยืนอยู่หน้าเรือนหินฟากหนึ่งของยอดเขา
นี่คือที่พักของเขา จากตรงนี้สามารถมองไปยังภูเขาไกลๆ ขอบเขตการมองเห็นกว้างไกล
ท้องฟ้าสีราตรีมืดทะมึน หมอกมงคลสีม่วงล้อมรอบเขาเมฆาคราม กั้นคืนรัตติกาลไว้ด้านนอก
“ในยามราตรีนั่นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
หลินสวินขมวดคิ้ว
ยามเขาเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดเป็นครั้งแรก ก็มีกฎว่าจะต้องกลับถึงค่ายทัพก่อนฟ้ามืด ไม่เช่นนั้นจะประสบมหันตภัย
นี่เป็นกฎเหล็ก ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม
ตอนนี้ผ่านไปหลายปีหลินสวินกลับมาอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่ากฎ ‘ฟ้ามืดอย่าออกจากบ้าน’ นี้ยังคงอยู่
และไม่มีใครกล้าก้าวข้ามมันเช่นกัน
ราวกับว่าในยามราตรีมีความน่ากลัวที่ไม่อาจจินตนาการ
“สมรภูมิกระหายเลือดเป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์มาก เกี่ยวกับที่มาของมัน ทุกคนพูดไปต่างๆ นานาจนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้”
จ้าวซิงเย่ราชินีกระหายเลือดมายืนอยู่ข้างหลินสวินไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาลึกล้ำแต่กระจ่างชัด มองไปยังสีรัตติกาลไกลๆ
“อย่างเช่นสมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางวันก็ต่างกับตอนกลางคืนอย่างสิ้นเชิง เหมือนเป็นสองโลกที่แตกต่างกันอย่างไรอย่างนั้น”
จ้าวซิงเย่เอ่ย “ตอนกลางวัน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์ จะไม่เกิดเรื่องแปลกประหลาดและอันตรายขึ้น”
“ตอนกลางคืน สมรภูมิกระหายเลือดเหมือนจมสู่ยมโลก สิ่งแปลกประหลาดอัปมงคลพากันมาเยือน อันตรายไม่อาจคาดเดา”
“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ตอนนี้… ยิ่งไม่เข้าใจ…”
จ้าวซิงเย่ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางเองก็ใคร่ครวญคำถามนี้มาโดยตลอด “แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ แม้เป็นอริยะ ยามกลางคืนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยพลการ เพราะในความมืดนั่นมีอันตรายที่น่ากลัวซึ่งสามารถฆ่าอริยะให้ตายได้”
“ผู้อาวุโสเคยสำรวจหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้
จ้าวซิงเย่ส่ายหน้า “พวกจักรพรรดิและจักรพรรดินีเคยสำรวจ แต่ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็กลับค่ายทันที แต่ละคนสีหน้าตึงเครียด แฝงความตะลึง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าด้วยศักยภาพระดับพวกเขาจะเสียอาการขนาดนั้นได้”
“พวกเขาเห็นอะไรขอรับ” หลินสวินประหลาดใจ
จ้าวซิงเย่เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “จักรพรรดิเคยพูดว่า สมรภูมิกระหายเลือดในตอนกลางคืนไม่เหมือนตอนกลางวัน เปลี่ยนเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย เหมือน… แดนนรกทมิฬในตำนาน… และเหมือนยมโลกอย่างที่สุด”
เสียงต่ำลึกกระจายออกไปท่ามกลางความมืด
ในใจหลินสวินเย็นเยียบขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่มองไปยังรัตติกาลไกลๆ สายตาก็เปลี่ยนไปแล้ว นรกขุมทมิฬหรือ
สถานที่ที่มีแค่ในตำนานมายา มีอยู่จริงหรือ
“เพราะฉะนั้นข้าว่าเจ้าอย่าออกจากค่ายทัพตอนกลางคืนจะดีที่สุด แม้ในมือมีที่พึ่งมากมายก็อย่าไป ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ข้าเห็นคนที่ไม่เชื่อทำเช่นนี้มาแล้วมากมาย แต่ผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียว”
จ้าวซิงเย่พูดถึงตรงนี้ ในสายตาเผยความกลัวอย่างยากจะได้เห็น
“อะไรหรือ”
“หายไป”
จ้าวซิงเย่พูด “หายไปอย่างไร้สุ้มเสียงและไม่กลับมาอีก แม้ไปหาตอนกลางวันก็ไม่พบร่องรอย กระทั่งกลิ่นอายก็ไม่หลงเหลือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์