ในป่าไม่มีปฏิทิน เวลาผ่านไปไม่รู้วันคืน
ดอกไม้ผลิแล้วก็บาน รู้ตัวอีกทีหลินสวินมาอยู่ที่ภูเขาเมฆาครามหนึ่งปีแล้ว
ในหนึ่งปีนี้ระหว่างสามค่ายทัพใหญ่อย่างจักรวรรดิ พ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า เกิดการเข่นฆ่าดุเดือดอยู่บ่อยครั้ง
ล้วนเกี่ยวข้องกับการแย่งสมบัติจำพวกผลึกกำเนิดเจตะ โอสถเทพแทบจะทั้งหมด
พูดโดยรวมก็คือ สถานการณ์ของผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิในปีนี้ยิ่งมีแนวโน้มถดถอยลงกว่าเดิม
ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิทุกคนที่ออกไปฝึกฝนข้างนอก จำเป็นต้องออกไปกันเป็นกลุ่ม และขอบเขตในการเคลื่อนไหวก็ลดน้อยลงมาก
เหตุผลเพราะไม่ว่าจะเป็นค่ายทัพพ่อมดเถื่อนหรือพันธมิตรหมื่นเผ่าล้วนเพ่งเล็งจักรวรรดิ!
ทั้งสองค่ายทัพใหญ่แม้ภายนอกดูเหมือนไม่ได้ร่วมมือกัน แต่ทุกคนรู้ดีว่าทั้งสองจะต้องแอบร่วมมือในบางด้านกันแล้วแน่
วู้ม!
วันนี้บนยอดภูเขาเมฆาคราม รุ้งศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวงดงามสายแล้วสายเล่าพุ่งออกจากเรือนหินที่หลินสวินปิดด่านอยู่
รุ้งศักดิ์สิทธิ์ทุกสายล้วนเต็มไปด้วยแสงประกายหยกที่อัศจรรย์ ราวกับเป็นของจริง พุ่งขึ้นฟ้างดงามอย่างที่สุด
ในเรือนหินเลือดลมรอบตัวหลินสวินพลุ่งพล่าน แปลงเป็นประกายแสงอย่างต้นพิสุทธิ์ หยกพิสุทธิ์ ยอดพิสุทธิ์ วิญญาณพิสุทธิ์ แรกพิสุทธิ์ มายาพิสุทธิ์ ไหลเวียนไม่หยุด ล้อมพิทักษ์รอบๆ
มองไปโดยละเอียด ผิวหนังทุกกระเบียดของเขาล้วนเป็นพร่างพราวแวววาว พรั่งพรูแสงมรรค ระหว่างกระดูกและเลือดลมเต็มไปด้วยเสียงธรรมกู่ก้อง
ฟึ่บ!
ยามหลินสวินลืมตาขึ้น อานุภาพน่ากลัวชวนกดดันสายหนึ่งแผ่กระจายออก ทำให้อากาศบริเวณนั้นทรุดทลาย เหมือนเป็นการก้มหัวเลื่อมใส
“ทะลวงแล้ว…”
ในใจหลินสวินเกิดความปลื้มปิติ
ในหนึ่งปีพลังหลอมกายของเขาได้ก้าวผ่านแต่ละระดับอย่างรวดเร็ว จากอมตะเคราะห์ด่านสองในตอนแรก ก้าวสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านหกแล้ว!
หนึ่งปีทะลวงสี่ระดับ!
นี่หากเผยแพร่ออกไปย่อมสามารถสะเทือนโลกได้ เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
แต่สำหรับหลินสวิน พัฒนาการเช่นนี้ปกติมาก
สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่งในการฝึกปราณอยู่แล้ว และสถานที่ที่เขาปิดด่านคือบนยอดภูเขาเมฆาคราม ทรัพยากรฝึกปราณที่ใช้คือผลึกกำเนิดเจตะและโอสถเทพที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย วิชาที่ฝึกคือพลังหลอมกายของวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์และใจความการหลอมกายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ
หากยังไม่สามารถก้าวหน้าอย่างที่สุดในการหลอมกาย นั่นต่างหากที่เรียกว่าไม่ปกติ
สิ่งที่สำคัญที่สุด เคราะห์หนักทุกด่านบนมรรคาอมตะหลินสวินผ่านมานานแล้ว เพราะฉะนั้นในการฝึกหลอมกายจึงเท่ากับไม่มีการขัดขวางใดๆ
เพียงแค่ฝึกต่อไป พลังหลอมกายก็สามารถพัฒนาขึ้นอย่างราบรื่น!
อีกทั้งยามหลินสวินฝึกฝน คำว่ามั่นคงต้องมาก่อน ไม่ได้ฝืน ทำให้รากฐานการหลอมกายมั่นคงอย่างที่สุด
หากคิดแต่จะทะลวงระดับขึ้นไป ในหนึ่งปีนี้หลินสวินมั่นใจว่าสามารถยกระดับพลังหลอมกายให้สูงขึ้นกว่านี้ได้
แต่เขาไม่ได้ทำ
สามารถทะลวงพลังหลอมกายสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านหกอย่างมั่นคงได้ภายในหนึ่งปี ก็ทำให้หลินสวินประหลาดใจและดีใจมากแล้ว
ความจริงหากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น หากมีทรัพยากรฝึกปราณและพรสวรรค์อย่างหลินสวิน ก็สามารถทำได้ถึงขั้นนี้เช่นกัน
เหตุผลง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นหลอมกาย หลอมปราณหรือหลอมจิต เส้นทางต่างกันแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ขอเพียงแค่สำเร็จในมรรคาใดมรรคาหนึ่ง ค่อยไปคำนึงถึงมรรคาอื่นๆ มักสามารถได้รับผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว
สิ่งที่ทำให้หลินสวินพอใจอย่างแท้จริงก็คือ ระหว่างการยกระดับของพลังหลอมกาย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย!
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนมกุฎเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่า การยกระดับของพลังหลอมกายมีความเกี่ยวข้องและสอดรับอย่างใกล้ชิดกับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินของตน
พลังหลอมกายยิ่งแข็งแกร่ง ระลอกคลื่นแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ยิ่งรุนแรง พลังพรสวรรค์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ตามไปด้วย
อย่างเช่นตอนนี้ พอเขาโคจรพลังหลอมกาย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดก็ประหนึ่งสุริยันร้อนแรงจรัสแสง สว่างไสวสะดุดตา แผ่คลื่นคลุมเครือแปลกประหลาดออกมา มีความรู้สึกเดือดพล่านมีชีวิตชีวา
‘ยามทะลวงด่านที่เก้าของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ทำให้ข้าได้รับ ‘พลังเร้นชะตาสวรรค์’ ที่สามารถปลุกพลังพรสวรรค์ กระตุ้นประทับต้นกำเนิดในพลังพรสวรรค์ เพื่อครอบครองอภินิหารพรสวรรค์ในมรดกสายเลือดของตนอย่างแท้จริง…’
หลินสวินตระหนักได้ว่า เมื่อพลังหลอมกายยกระดับขึ้น ระยะห่างของการปลุกอภินิหารพรสวรรค์ของตนก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เขารอคอยอย่างยิ่ง ว่าพลังอภินิหารบริสุทธิ์ของพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินจะมีอานุภาพที่คาดไม่ถึงอย่างไร…
หลินสวินสัมผัสพลังหลอมกายของตนเงียบๆ อยู่นานถึงค่อยลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากเรือนหิน
เขาสังเกตเห็นแล้วว่า ต่อให้ปิดด่านต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อการยกระดับพลังอีกแล้ว หากต้องการให้พลังหลอมกายเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จะต้องเข้าสู่การเคี่ยวกรำอย่างแท้จริง
ตอนนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวเคยพูดว่า พลังหลอมกายของเขาแม้จะแข็งแกร่ง แต่ขาดการเคี่ยวกรำ ขาดการฝึกฝนและพัฒนาอย่างแท้จริง
จุดนี้แน่นอนว่าหลินสวินย่อมไม่ลืม
และถ้าอยากจะฝึกฝนเคี่ยวกรำ การต่อสู้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ก้าวลงจากภูเขาไปอย่างปล่อยอารมณ์
……
“ผลึกกำเนิดเจตะหายากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่ดีๆ ที่รู้จักก็ถูกพวกสารเลวพ่อมดเถื่อนและพวกตัวประหลาดหมื่นเผ่ายึดครองไปหมด น่าชังจริงๆ”
“ฝั่งพ่อมดเถื่อนมีผู้กล้า ‘คู่แฝดรุ่งรัตติกาล’ พลังต่อสู้ยอดเยี่ยม และมีบุคคลสุดยอด ‘ราชันพ่อมดระดับอมตะเคราะห์ทั้งสิบ’ ทุกคนล้วนมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าซ่งอู๋เชวีย คู่แฝดรุ่งรัตติกาลคู่นั้นยิ่งน่ากลัว ในค่ายทัพจักรวรรดิของเราคงมีเพียงหลี่ตู๋สิงที่เทียบได้”
“ส่วนฝั่งพันธมิตรหมื่นเผ่า บุคคลที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของ ‘กระดานพลังต่อสู้หมื่นเผ่า’ ล้วนเป็นบุคคลเหี้ยมโหดชั้นหนึ่ง ทุกคนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หายากในหมื่นปี บางคนพรสวรรค์ยอดเยี่ยม บางคนแก่นกระดูกเลิศล้ำ บางคนความสามารถในการหยั่งถึงเทียมฟ้า…”
“ย้อนกลับมามองค่ายทัพจักรวรรดิของเรา ก็มีแค่พวกหลี่ตู๋สิง ซ่งอู๋เชวีย สืออวี่ไม่กี่คนที่สามารถสู้พวกเขาได้ แต่เมื่อเทียบกัน พลังชั้นยอดที่แท้จริงห่างกันมากเกินไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์