ข้าหมายจะทะลวงระดับ พิบัติเคราะห์อยู่หนใด
ประโยคหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
แต่ตอนที่แพร่ออกมากลับเหมือนสายฟ้ากวาดทะเลเมฆ สั่นสะเทือนสิบทิศ
ทันใดนั้นในฟ้าดินผืนนี้เต็มไปด้วยเสียงสะท้อนที่ราวกับสายฟ้าระเบิด ทำให้ห้วงอากาศเกิดคลื่นรุนแรง
ตรงตีนเขาจ้าวซิงเย่เงยหน้าขึ้นทันใด ความแปลกใจแวบผ่านเข้ามาในสายตา
พลันเห็นบนท้องฟ้า เมฆาเคราะห์ที่ราวกับหมึกดำเกาะตัวขึ้นมา ควบแน่นอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ บดบังท้องฟ้าบนเขาพินิจมรรค
มืดมนราวกับรัตติกาลนิรันดร์
กลิ่นอายทำลายล้างที่หนักอึ้ง กดดัน และน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา
ในบริเวณพันลี้ ลมเมฆเปลี่ยนสี
ข้างหน้าผาบนยอดเขา หลินสวินยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาดำลึกล้ำ ไม่สุขไม่เศร้า
หนึ่งเดือน ฟังเสียงลึกลับมหามรรคราวกับลืมตัว และตอนนี้เมื่อตื่นขึ้นมา พลังของหลินสวินราวกับน้ำในทะเลสาบที่กดอัดมานาน จู่ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น
พลังหลอมกายก้าวสู้ระดับอมตะเคราะห์ด่านแปด
พลังหลอมปราณยิ่งไปถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบถึงขีดสุด เกิดความรู้สึกอัดอั้นที่ไม่ทะลวงไม่ได้แล้ว
และจากนั้น จุดเปลี่ยนการทะลวงระดับก็มาเยือน ณ ตอนนี้
ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มีอสนีเคราะห์ที่ราวกับมังกรพลิกตัว คดเคี้ยวสว่างไสว กลิ่นอายทำลายล้างที่แผ่ออกมาหนักอึ้งจนทำให้คนแทบหายใจไม่ออก
แต่ในใจหลินสวินนิ่งสงบ นัยลึกลับมหามรรคที่ยิ่งหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆ นี้ราวกับน้ำที่ใสสะอาด ไหลตามร่างกายของเขา
รอยสลักมหามรรคเหล่านั้น ก็เหมือนการหยั่งรู้มหามรรคที่บุคคลระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งอธิบายไว้ เพราะพลังของผู้แสวงหาไม่เหมือนกัน ความลึกล้ำที่หยั่งถึงย่อมไม่เหมือนกัน
อย่างหลินสวิน สิ่งที่หยั่งถึงคือนัยเร้นลับของมรรคาอมตะ
หินจากภูเขาอื่นสามารถนำมาเจียระไนหยก และการหยั่งรู้มรรคาอมตะของระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ทำให้หลินสวินสามารถนำมาพลิกแพลง ทบทวนตัวเอง หาข้อบกพร่องเพื่อเติมเต็มในการหยั่งมรรคตลอดทั้งเดือนนี้ ทำให้มรรคาของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่!
ไม่ให้หลินสวินรอนานเกินไป อมตะเคราะห์ที่เก้าของมรรคาอมตะก็มาเยือน
หนาแน่นประหนึ่งตาข่ายใหญ่ที่ถักจากสายฟ้า ร่วงลงจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์บนท้องฟ้า สายฟ้าสว่างไสวมากมายราวกับมังกร มีไอทำลายล้างพลิกฟ้า
หลินสวินก้าวเดินกลางอากาศ ก้าวไปทีละก้าว เสื้อผ้าโบกสะบัดจนเกิดเสียง จากนั้นนั่งขัดสมาธิ นิ่งสนิทดั่งหิน ไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนไหวสักนิด
มีเพียงผมดำที่กำลังพลิ้วไหว เสื้อผ้าโบกสะบัด
ครู่ต่อมาอสนีเคราะห์ผ่าลงมา ปกคลุมทั้งร่างของหลินสวินไว้
อสนีสเคราะห์ทุกสายล้วนมีอานุภาพสังหารราชันมรรคาอมตะคนใดๆ ก็ตาม น่ากลัวจนไม่สามารถจินตนาการได้
อสนีเคราะห์ที่แน่ขนัดลงมาเยือนพร้อมกัน เมื่อเกิดขึ้นบนตัวคนผู้หนึ่ง สภาพเช่นนั้นเรียกได้ว่าตะลึงโลกอย่างแน่นอน น่ากลัวไร้ขอบเขต
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใดๆ
เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ต้านทานคลี่คลายด้วยพลังของตน ราวกับภิกษุเฒ่าเข้าสิง ลมแปดทิศมาเยือนข้าก็ไม่หวั่น
สายฟ้าพร่างพราว ประกายอสนีแวววาวแผ่กระจายโหมซัดใส่ร่างกายของเขา เกิดเสียงปะทะกึกก้องสะเทือนหู
ไม่นานร่างกายของเขาแตกออกทุกกระเบียด หลั่งเลือดสีแดงสดประหนึ่งเปลี่ยนเป็นมนุษย์เลือด แต่สีหน้าของเขายังคงราบเรียบ
ท่าทางนิ่งสงบ ใจเย็น เยือกเย็น ไม่เหมือนกำลังข้ามด่านเคราะห์เลยสักนิด แต่เหมือนกำลังใช้พลังแห่งอสนีเคราะห์ฝึกตัวเองอยู่!
จ้าวซิงเย่ถอยห่างออกไปก่อนที่อสนีเคราะห์จะมาเยือนแล้ว นางมองมหาเคราะห์ครั้งนี้เงียบๆ จิตใจไม่สามารถสงบได้
นางเองก็เคยข้ามอมตะเคราะห์ด่านเก้า แต่อานุภาพกลับไม่ได้น่ากลัวเหมือนพิบัติเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้านี้
นางเองก็เคยเห็นคนอื่นผ่านอมตะเคราะห์ด่านเก้า แต่ก็สู้เคราะห์ที่หลินสวินชักนำมาไม่ได้สักนิด
‘นี่ก็คือพิบัติเคราะห์ของบุคคลขอบเขตมกุฎ…’
จ้าวซิงเย่ถอนหายใจในใจ
และวิธีข้ามด่านเคราะห์ของหลินสวินก็ทำให้จ้าวซิงเย่หวั่นไหว ถึงขั้นยากจะจินตนาการ
คนบนโลกข้ามด่านเคราะห์ ล้วนเหมือนศัตรูยิ่งใหญ่มาเยือน ราวกับเผชิญกับบททดสอบเป็นตาย ระมัดระวังและจริงจังอย่างที่สุด แทบจะแสดงฝีมือทั้งหมดออกมาอยู่แล้ว
แต่หลินสวิน…
ไม่ได้ทำอะไรเลย!
เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ราวกับมุนินทร์นั่งอยู่บนแท่นบัวอันสูงส่ง ประหนึ่งศาสดาบนเบาะรองนั่ง ท่าทางผ่อนคลาย
พิบัติเคราะห์มากมายมาเยือน ปล่อยให้ถูกฟันผ่า ปล่อยให้ผิวหนังแตกเสียหาย กายหยาบบาดเจ็บสาหัส กลับเหมือนไม่รู้สึกตัว
จ้าวซิงเย่ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสะเทือนไหวอย่างไม่สามารถอธิบายได้
ราวกับมองเห็นปาฏิหาริย์หนึ่งกำลังเกิดขึ้น!
……
ในเวลาเดียวกัน ส่วนลึกของป่าต้นหม่อนมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเกิดขึ้น
กึง!
ในตำหนักที่ยิ่งใหญ่และลึกลับซึ่งมีบันไดมรรคเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เสียงระฆังดังขึ้นคราหนึ่ง
ยามนี้สิ่งมีชีวิตน่ากลัวทั่วทุกมุมของป่าต้นหม่อนต่างหยุดการกระทำในมือ สายตามองที่เดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
“จุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้ ในที่สุดก็มาแล้ว!”
ในบึงแห่งหนึ่ง ดอกอสูรแดงเพลิงที่งดงามหาที่เปรียบไม่ได้เคลื่อนออกมา กลีบดอกทุกกลีบล้วนประทับรอยมรรค ในเกสรประกายแสงไหลเวียน ละอองแสงที่ดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์พร่างพรม เปลี่ยนเป็นปราณกระบี่หลายร้อยล้านสายพรมลงมาจนเกิดเสียงดังชิ้งๆ
สวบ!
ดอกอสูรแดงเพลิงพริบไหวเบาๆ ทะลวงอากาศหายไป
จักรพรรดินีพูดเสียงเบา
จ้าวหยวนจี๋พยักหน้า พูดเรียบๆ “นอกจากเจ้าเฒ่าสองคนนี้ อันที่จริงสิ่งที่ควรระวังที่สุด คือพวกสิ่งมีชีวิตที่จำศีลอยู่ในแดนบ่อเกิดแรกกำเนิดแห่งนี้มาโดยตลอด”
หยุดไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อว่า “จำจักจั่นขาวตัวนั้นได้หรือไม่ ที่มาของมันไม่ธรรมดา พวกเราร่วมมือกันจึงพอจะตีเสมอมันได้ หากมันเข้าร่วมด้วยจะยุ่งยากกว่าอูจิ่วฉงและจวี้เทียนสิงเสียอีก”
จักรพรรดินี จ้าวหยวนจี๋ และเจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตต่างนัยน์ตาหดรัดลง นึกถึงจักจั่นขาวตัวนั้น
หลายปีก่อนตอนแสวงหาวาสนา พวกเขาเคยบังเอิญเจอจักจั่นขาวตัวนั้น อีกฝ่ายอุปนิสัยเย็นชาและเลือดเย็นอย่างที่สุด พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็ลงมือทันที
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมมือกัน จุดจบนั้นย่อมไม่อยากจะคิด
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ พวกเขาต่างรู้ดีว่านอกจากจักจั่นขาวตัวนั้น แดนบ่อเกิดแรกกำเนิดแห่งนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวไม่น้อย ล้วนรอจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้มาโดยตลอด!
ก็หมายความว่า เพียงแค่จุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งหนึ่ง ก็มีขุมอำนาจสี่ฝ่ายช่วงชิง หนึ่งคือจักรวรรดิ สองคือค่ายพ่อมดเถื่อน สามคือพันธมิตรหมื่นเผ่า
และฝ่ายสุดท้าย ก็คือเหล่าสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่จำศีลอยู่ ณ ที่แห่งนี้
สิ่งที่โชคดีคือ สิบปีมานี้พวกจ้าวหยวนจี๋ได้สำรวจอย่างชัดเจนแล้วว่า เหล่าสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่จำศีลอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน
ตรงกันข้าม ระหว่างสิ่งมีชีวิตน่ากลัวเหล่านั้นก็มีความขัดแย้งและเป็นศัตรูต่อกัน
หากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นพวกเดียวกัน พวกจ้าวหยวนจี๋คงยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเหล่านั้นก็แข็งแกร่งเกินไป!
“ไปเถอะ หากเด็กคนนั้นมาจะต้องไป ‘ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์’ แน่นอน พวกเจ้ารอรับเขาที่นั่น”
ครู่หนึ่งจ้าวหยวนจี๋ตัดสินใจเด็ดขาด
ทันใดนั้นคนทั้งกลุ่มก็ทะลวงอากาศไป
“ในที่สุดก็มาแล้ว…”
บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งที่งดงามบริสุทธิ์และเป็นประกาย จักจั่นทองตัวหนึ่งหมอบอยู่บนใบไม้หิมะน้ำแข็งหนาใหญ่ใบหนึ่งเงียบๆ เสียงกระจ่างไพเราะอ่อนโยนแฝงความปลาบปลื้ม “ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน มหายุคมาเยือน จุดเปลี่ยนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตามมา อาไป๋ เจ้าดีใจหรือไม่”
“หึ!”
บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง จักจั่นขาวตัวหนึ่งแค่นเสียงเย็นเยียบ “หยุดพูดไร้สาระ ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไหร่ ตอนนี้โอกาสมาแล้ว ก็ควรเคลื่อนไหวแล้วมิใช่หรือ”
เสียงของจักจั่นทองยังคงอ่อนโยน นิ่งสงบราวกับไม่มีวันโกรธอย่างไรอย่างนั้น พูดว่า “ไม่ต้องรีบ พวกเราไม่ได้อยากได้จุดเปลี่ยนนั่นสักหน่อย เพียงแค่… จะจากไปเท่านั้น”
“ช่วงชิงจุดเปลี่ยนก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”
ในเสียงของจักจั่นขาวแผ่ความโหดเหี้ยมเย็นชาเต็มเปี่ยม
เพี๊ยะ!
เพิ่งจะสิ้นเสียงจักจั่นขาวพลันเซราวกับถูกตบ จากนั้นเสียงอันอ่อนโยนของจักจั่นทองก็ดังขึ้น
“อาไป๋ อย่าก่อเรื่อง”
……………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์