การลงมือของอู้เชวีย ก็เหมือนเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง
“อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นฟูแล้วหรือ” หลินสวินถาม
“มีหรือจะฟื้นตัวเร็วเช่นนั้น”
กลิ่นอายอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวอู้เชวียถูกเก็บไปนานแล้ว เขาในตอนนี้เหมือนเด็กหนุ่มที่ยิ้มสดใส เต็มไปด้วยความระห่ำเป็นธรรมชาติ
เขาลูบคางคิดไปคิดมาพลางกล่าว “พลังต่อสู้น่าจะฟื้นคืนมาถึงสามส่วนหากเทียบกับตอนที่ข้าอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม”
แววตาหลินสวินไหววูบ พลังต่อสู้สามส่วนก็สังหารระดับจักรพรรดิขั้นสี่ได้ในศรเดียว?
ตอนที่อู้เชวียอยู่ในสภาพสมบูรณ์จะแข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อมองวิญญาณกระบี่เย่จื่อที่พุ่งมาแต่ไกล และนึกถึงเงาร่างน่ากลัวนั้นที่จำศีลอยู่ในส่วนลึกของดาบหักตอนนี้…
หลินสวินพลันพบว่าตนเหมือนจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนโศกเศร้าจริงๆ
อู้เชวียพลันกล่าว “นายน้อย หลังจากนี้ข้าอาจไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกนาน นอกเสียจากว่า…”
“นอกเสียจากอะไร” หลินสวินถาม
อู้เชวียเหมือนยากจะเอ่ยปากอยู่บ้าง กระแอมเล็กน้อยพลางกล่าว “อืม นายน้อยท่านก็รู้ หลายปีนี้ข้าหลอมแก่นพลังสมบัติไปไม่น้อย จึงฟื้นฟูพลังชีวิตมาได้บางส่วน…”
ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็เข้าใจพลางกล่าว “สมบัติจักรพรรดิหรือ”
อู้เชวียพยักหน้ากล่าวเสริม “ยิ่งมากยิ่งดี”
มุมปากหลินสวินกระตุกเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็นพลางกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ภายหน้าข้าต้องรวบรวมสมบัติจักรพรรดิมาได้มากขึ้นแน่”
ดูเหมือนว่าอู้เชวียจะเกรงใจอยู่บ้าง “นายน้อย เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว ก่อนหน้านี้แม้ว่าข้าจะกลืนสมบัติจักรพรรดิไปบางส่วน แต่ก็ฟื้นฟูพลังต่อสู้มาได้บ้าง เหมือนการฆ่าเจ้าเฒ่านั่นเมื่อครู่ ล้วนไม่เปลืองแรงอย่างสิ้นเชิง”
เย่จื่อที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาโดยพลัน “การโจมตีเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะสูบพลังบนตัวเจ้าไปหมดแล้ว คงไม่อาจพูดได้ว่าไม่เปลืองแรง”
รอยยิ้มของอู้เชวียพลันแข็งทื่อ จ้องมองเย่จื่อด้วยแววตาล้ำลึก “นายน้อย หากท่านให้ข้ากลืนวิญญาณกระบี่น้อยนี่ ไม่เกินหนึ่งวันพลังชีวิตที่เสียหายสาหัสนั้นของข้าต้องฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แน่”
เย่จื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ข้าไม่เหมือนเจ้า ไม่ต้องหลอมแก่นพลังของสมบัติจักรพรรดิมาฟื้นฟูตนเอง ทั้งข้ายังกล้ายืนยันว่าแม้เจ้าจะเป็นวิญญาณอาวุธเหมือนข้า แต่มรรควิถีที่เจ้ามีตอนอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม ไม่มีทางสูงกว่าข้าแน่”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวอย่างใจเย็น “หากเปรียบเทียบเช่นนี้ ความคิดที่เจ้าอยากจะกลืนกินข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับคางคกอยากกินเนื้อหงส์ เพ้อพกเลื่อนลอย ไม่ประมาณตนเอง”
คำพูดพวกนี้ดุดันและตรงไปตรงมาเหมือนมรรคกระบี่ของเขา ทำเอาอู้เชวียตกตะลึงไปพักหนึ่ง
เขากล่าวอย่างประหลาดใจ “นายน้อย วิญญาณกระบี่น้อยนี่เฉียบคมนัก”
เย่จื่อเอ่ยแก้ “ข้าชื่อเย่จื่อ ไม่ได้ชื่อว่าวิญญาณกระบี่น้อย”
เห็นว่าทั้งสองมีท่าทีเหมือนเข็มแหลมปะทะหนามคม หลินสวินจึงรีบห้ามปรามแยกทั้งสองออกจากกัน ไม่อย่างนั้นต้องได้ต่อยตีกันแน่
“วิญญาณกระบี่น้อย เมื่อเจอกันครั้งหน้า ไม่แน่ว่าข้าอาจได้ลิ้มลองรสชาติของเจ้า”
สุดท้ายอู้เชวียก็ยิ้มกล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก่อนกลับเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร จมสู่ความเงียบอีกครั้ง
“เจ้าหมอนี่…”
เย่จื่อคิดไปคิดมาก่อนกล่าววิจารณ์ “กวนบาทานัก”
ดุเดือดเลือดพล่านเหลือเกิน
หลินสวินอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ไปเถอะ”
เขานึกถึงซีแล้วพลันหนักใจขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าจางหายไปจนสิ้น
เขาสูดหายใจลึกแล้วเริ่มเคลื่อนไหว รวบรวมทรัพย์หลังศึกที่เหลืออยู่ในสนามรบก่อนเคลื่อนที่ไปยังฟ้าดาราที่ห่างออกไป
“ไปไหน” เย่จื่อถาม
“โลกมืด” หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด
“เจ้าไม่ห่วงซีหรือ” เย่จื่ออดกล่าวไม่ได้
“นางต้องมาหาพวกเราแน่” เสียงของหลินสวินต่ำลึก
“แต่ถ้า…”
“ไม่มีถ้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ขณะพูดคุยเงาร่างของหลินสวินและเย่จื่อล้วนหายไปจากฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ผืนนี้แล้ว
แต่เมื่อพวกเขาจากไปไม่นาน
ส่วนลึกของฟ้าดาราแถบนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในดวงตาเผยลักษณ์ประหลาดอย่างทั่วหล้าผันแปร สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง
เขายืนสบายๆ อยู่อย่างนั้น แต่กลับเหมือนราชันแห่งฟ้าดาราที่สูงส่ง รูปร่างสูงตระหง่าน สันโดษอิสระ
“นายท่าน”
เสียงที่ถ่อมตนหาใดเปรียบพลันดังขึ้น ชายร่างกำยำที่ทั่วร่างอบอวลไปด้วยสายฟ้าสีดำ เงาร่างสูงประมาณหนึ่งจั้งคนหนึ่งปรากฏตัว
กลิ่นอายของเขาชวนประหวั่นหาใดเปรียบ แค่ระหว่างที่หายใจเข้าออกก็ทำให้ฟ้าดาราแถบนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาได้!
แต่ตอนนี้เขากลับยืนนอบน้อมอยู่ข้างเงาร่างตระหง่านนั่น ค้อมศีรษะลงมา
“ว่ามา”
เงาร่างนั้นคำพูดมีค่าดั่งทอง คำเดียวเหมือนสัทครรลองมหามรรค เสียดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ
“จักรพรรดิสวรรค์ดำรงปรากฏตัวที่โลกมืดแล้ว เจ้าสำนักของสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์ล้วนยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา”
น้ำเสียงของชายร่างกำยำลุ่มลึก ดังก้องเหมือนอสนีครวญ
“คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”
น้ำเสียงของเงาร่างนั้นเจือแววถากถาง
ชายร่างกำยำลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “นายท่าน จักรพรรดิสวรรค์ดำรงแจ้งข่าวผ่านแดนกษิติครรภ์มาว่าให้ท่านไปเข้าพบ”
“เข้าพบ?”
เมื่อสองคำนี้หลุดออกมาจากปากของเงาร่างนั้น ฟ้าดาราแถบนี้พลันมืดสลัว ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่ายสั่นครั่นครืน
ชายร่างกำยำตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ
กลับเห็นเงาร่างนั้นเงียบไปสักพัก ทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “แค่สุนัขของฟากฝั่งฟ้าดาราตัวหนึ่งเท่านั้น มองว่าตนเป็นนายเหนือหัวแห่งทั่วหล้าฟ้าดาราจริงหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์