สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2351 ใจกลางหมื่นมรรค – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 2351 ใจกลางหมื่นมรรค ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ในแดนมกุฎเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
หลังจากหลินสวินเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก เขาเคยพบสตรีที่พิเศษไม่เหมือนใครคนหนึ่ง
กลางฟ้าดินคือหมอกควันสีเลือด เนินเขาลูกเล็กที่ก่อจากโครงกระดูกตั้งตระหง่านอยู่ในนั้น น้ำเลือดและหมอกโลหิตหลั่งชโลมออกจากโครงกระดูกแน่นขนัด
บนยอดเขาเงาร่างงดงามสายหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดกระโปรงที่ถูกเลือดย้อมเป็นสีแดง
นางเหมือนกำลังแต่งตัวอยู่ตรงหน้าแม่น้ำ สองมือทำท่าเหมือนหวีผม
แต่สิ่งที่พาให้คนหนาวสะท้านในใจคือ บนลำคอของนางว่างเปล่า ไม่มีศีรษะ!
ยามจากมาหลินสวินได้ยินเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นรางๆ แฝงความอ้างว้างวังเวงไร้สิ้นสุด…
‘พวกเจ้าไปหมดแล้ว ใครจะจำข้าอู๋ยางได้…’
และเป็นเวลานั้นที่หลินสวินได้ยินว่าสมัยบรรพกาลเคยมีจักรพรรดิสงครามอู๋ยางที่พรสวรรค์โดดเด่น เบื้องบนทะยานเก้าสวรรค์ เบื้องล่างรบสยบเก้านรก เป็นหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนในรุ่นเดียวกันล้วนมืดมนอับแสง!
ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ได้ชื่อว่านายเหนือหัวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เดิมก็เหมือนเป็นดั่งตำนานอยู่แล้ว สามารถทำให้ทุกคนตะลึง!
นั่นเป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้ยินชื่อของ ‘จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง’
ต่อมายามเข้าไปในแม่น้ำนรก หลินสวินเข้าสู่แดนพิสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยไผ่ม่วงเสียงอสนีแห่งหนึ่ง
ที่นั่นหลินสวินได้พบเงาร่างงามทรงสง่านั้นอีกครั้ง
นางในตอนนั้นชุดสะอาดดุจหิมะไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย แม้เงาร่างจะเหมือนมายาพร่ามัว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นว่าผมสีดำราวน้ำตกของนางพลิ้วไหว ศีรษะยังคงอยู่!
นางสนทนากับหลินสวินในป่าไผ่ม่วง มองหลินสวินเป็น ‘สหายยุทธ์’ และพูดถึงเรื่องมากมาย
มีประตูสวรรค์ มีสงครามแห่งมหายุค มีหนทางแห่งมกุฎ… น้ำเสียงดูซึมเซา เลือนราง และเยียบเย็น
ต่อมานางบอกหลินสวินว่านางฝึกปราณมาสามพันปี โลดแล่นสันโดษในใต้หล้า สังหารศัตรูนับไม่ถ้วน ในหมู่คนรุ่นเดียวกันไม่มีใครเทียบได้ ตลอดชีวิตเรียนรู้วิชาเรือนพันเรือนหมื่น
แต่ต่อมาเหลือเพียงวิชากระบี่เดียวนามว่า ‘ไปไร้หวน’!
นี่คือยอดมรดกมรรคกระบี่ที่ควบรวมมาจากชั่วชีวิตของนาง เคยสร้างความตื่นตาในอดีตกาล และก็เป็นตอนนั้นที่นางถ่ายทอดวิชาให้หลินสวินโดยไม่เก็บงำแม้แต่น้อย
ตอนนั้นหลินสวินเคยถามว่าเหตุใดสหายยุทธ์ถึงแสดงตนด้วยร่าง ‘ไร้หัว’
อู๋ยางตอบว่าปีนั้นยามห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้แปดดินแดนอื่น ถูกคนเด็ดเอาไป ความอัปยศเช่นนี้วันหน้าต้องเอาคืน
ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง หยั่งรากลึกในก้นบึ้งจิตใจของหลินสวินเหมือนปริศนา
จวบจนทุกวันนี้เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิระดับจักรพรรดิขั้นสี่แล้ว แต่ยามนึกถึงจักรพรรดิสงครามอู๋ยางและไปไร้หวน ในใจก็ยังรู้สึกตกตะลึงไม่หยุด
จักรพรรดิหญิงคนหนึ่ง ปกครองหนึ่งช่วงสมัย เจิดจรัสระดับใด
แต่ตอนนี้เมื่อยืนอยู่บนแท่นมรรคหมื่นจั้งนี่ พอเห็นรูปร่างของสตรีที่ปกคลุมด้วยหมอกควันนั้น หลินสวินก็อึ้งไป
ด้วยนางคือจักรพรรดิสงครามอู๋ยางนั่นเอง!
ต่อให้รูปร่างยังเหมือนมายาพร่ามัว แต่บุคลิกเฉพาะตัวที่คลุมเครือและเยียบเย็นเช่นนั้น หลินสวินมีหรือจะลืมเลือน
ทำไม… ทำไมถึงเป็นเช่นนี้!?
หลินสวินอารมณ์ไหวหวั่นปั่นป่วน
ต้องรู้ว่าตอนยังเด็กยามก้าวผ่านทะเลกลืนวิญญาณ เข้ามาในสุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนี้เป็นครั้งแรก เขาก็เคยพบอีกฝ่ายแล้ว!
ยังมีภิกษุตาบอดรูปนั้นที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิสงครามอู๋ยางด้วย เขาเหมือนจอมมุนีซิงเจียที่เคยเจอในแดนมกุฎ และก็เป็นการพบกันตอนยังเด็ก
แต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับตน!
ความจริงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้หลินสวินรับมือไม่ทันอย่างอดไม่ได้
“สหายยุทธ์ พวกท่าน… ทำไมถึงปรากฏตัวที่นี่” หลินสวินอดถามไม่ได้
เงาร่างงดงามที่หมอกควันอบอวลนั้นกล่าวเหมือนแปลกใจ “สหายน้อยหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินสูดหายใจลึก สะกดกลั้นความสงสัยในใจ เล่าประสบการณ์ที่ตนพบเจอในแดนมกุฎเมื่อปีนั้นออกมาทั้งหมด
เมื่อหญิงสาวฟังจบจึงเข้าใจกระจ่างพลางกล่าว “ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ความอัศจรรย์แห่งโลกหล้า คล้ายบุญทำกรรมแต่งไม่พ้นลิขิตตน ผูกเวรสร้างกรรมต้องมีที่มา”
จากนั้นตามคำอธิบายของนาง ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างนี้
สมัยดึกดำบรรพ์โลกมืดเกิดเคราะห์จ่อมจมเป็นครั้งแรก จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนพาบุคคลเทียมฟ้าของพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณมากมายมุ่งหน้าฝ่าอันตรายไปด้วยกัน ในที่สุดก็ชิงพลังต้นกำเนิดของโลกที่เดิมเป็นของโลกมืดมาได้
ต้นกำเนิดของโลกนี้ก็คือ ‘แดนมกุฎ’ ที่ปรากฏในดินแดนรกร้างโบราณในภายหลัง
แต่ตอนนั้นยามพวกจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนนำต้นกำเนิดของโลกนี้กลับมาที่ดินแดนรกร้างโบราณ ได้ถูกผู้แข็งแกร่งที่มาจากแปดดินแดนสกัดกั้น ทั้งสองฝ่ายระเบิดศึกนองเลือด
ในการปะทะครั้งนี้ จักรพรรดิสงครามอู๋ยางถูกพวกน่ากลัวมากมายล้อมโจมตี แม้สุดท้ายจะสังหารศัตรูได้ทั้งหมด แต่ศีรษะของนางกลับถูกคนลอบโจมตีและเด็ดเอาไป
สิ่งนี้ถูกจักรพรรดิสงครามอู๋ยางมองว่าเป็นความอัปยศชั่วชีวิต
เหตุการณ์ต่างๆ ที่หลินสวินเจอในแดนมกุฎเมื่อปีนั้น ก็คือร่องรอยของการต่อสู้ที่ศึกนองเลือดนั้นเหลือทิ้งไว้
ส่วนสิ่งที่เหลืออยู่ในป่าไผ่ม่วงเสียงอสนี ก็เป็นแค่พลังเจตจำนงของจักรพรรดิสงครามอู๋ยางเท่านั้น
กระทั่งต่อมา
จักรพรรดิสงครามอู๋ยางบุกไปต่างแดนตัวคนเดียว เหินทะยานเก้าหมื่นลี้ สังหารศัตรูสิบหกคน ไม่มีใครที่ไม่ใช่มหาจักรพรรดิโบราณ ไม่มีใครที่ไม่ใช่บรรพจารย์จักรพรรดิ!
หลังผ่านศึกนี้ก็นับว่าได้แก้แค้นล้างความอัปยศ พวกจักรพรรดิสงครามอู๋ยางและจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนมุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดาราด้วยกัน
กระทั่งจอมจักรพรรดิไร้นามใช้พลังระเบียบต้องห้ามม้วนกลืนทางเดินโบราณฟ้าดารา เหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิสงครามอู๋ยางและจอมมุนีซิงเจียที่รู้ข่าวก็กลับมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา เข้าร่วมใน ‘ศึกมรรคสิบทิศ’ ครั้งนี้
“นี่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสุสานสมุทรฝังมรรคเช่นกัน วิญญาณอาฆาตแปดดินแดนที่ถูกกำราบอยู่ที่นี่เหล่านั้นก็ได้รับการแปรสภาพยามไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา…”
“ส่วนข้ากับซิงเจีย สุดท้ายก็เป็นแค่พลังเจตจำนงที่เหลือทิ้งไว้ในปีนั้น หลังผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด พลังที่ครอบครองล้วนอ่อนกำลังไปกว่าครึ่งนานแล้ว”
“หากไม่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ถึงขั้นถูกปิดล้อมอยู่ที่นี่แล้ว…”
พูดถึงตรงนี้สายตาของจักรพรรดิสงครามอู๋ยางมองไปยังหลินสวิน “ยังดีที่สหายน้อยมาทัน ไม่อย่างนั้นหากให้พวกนั้นทำลายแท่นมรรคแห่งนี้ หนีออกจากสุสานสมุทรฝังมรรคไปได้ เกรงว่าแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้คงถูกพวกเขากัดกร่อนยึดครองแน่”
จิตใจหลินสวินไหวกระเพื่อม กล่าวว่า “สหายยุทธ์โปรดวางใจ ในเมื่อข้าหลินสวินมาแล้ว ย่อมกำจัดศัตรูในสุสานสมุทรฝังมรรคนี้ให้สิ้นซาก!”
คำพูดมาดมั่นหนักแน่น
จักรพรรดิสงครามอู๋ยางยิ้มแล้วพลันกล่าว “โลกชั้นล่างนี้กำลังจะต้องรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อพลังใจกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ ถึงขั้นสามารถทำให้โลกนี้กลายเป็น ‘แดนมงคลมหามรรค’ ที่แท้จริงได้ นำไปเทียบกับแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิงได้อย่างสิ้นเชิง!”
หลินสวินใจกระตุกวูบ สูดหายใจสะท้าน
โลกใหญ่หงเหมิงถูกมองเป็นโลกอันดับหนึ่งของฟ้าดารา
และในบรรดาสี่สิบเก้าแคว้นแห่งโลกใหญ่หงเหมิง แคว้นกลางมรรคถือเป็นที่สุด!
นั่นคือดินแดนที่เจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู อุดมสมบูรณ์หาใดเปรียบ หกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ เผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์มากมายล้วนครองพื้นที่ในนั้น เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัว
แคว้นกลางมรรคแคว้นเดียวกลับหล่อเลี้ยงสำนักโบราณและขุมอำนาจมากเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าแคว้นกลางมรรคไม่ธรรมดาระดับใด
ความจริงปีนั้นหลินสวินก็เคยรู้แล้วว่าแคว้นกลางมรรคศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ทั้งรู้ว่ารากฐานของเรือนมรรคเหล่านั้นน่าหวาดกลัวระดับใด
หากโลกชั้นล่างในตอนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นแดนมงคลมหามรรคเช่นนั้นในภายหน้า… ผลกระทบที่ตามมานั้น แน่นอนว่าไม่อาจประเมินได้!
อย่างน้อยสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนที่อาศัยอยู่ในโลกชั้นล่างตอนนี้ ล้วนเท่ากับมีชะตาชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป มีโอกาสแปรสภาพอย่างต่อเนื่อง
คิดดูแล้วก่อนหน้านี้ ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งล้วนเรียกได้ว่าเป็นราชันมากอิทธิพล ราชันระดับอมตะเคราะห์คนหนึ่งล้วนข่มขวัญมากอำนาจ ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง
แต่หลังจากนี้ล่ะ
ผู้ฝึกปราณที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้จะถือกำเนิดนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นระดับอริยะ ระดับกึ่งจักรพรรดิ… ก็ต้องเห็นบ่อยจนชินตาแน่
ส่วนระดับจักรพรรดิก็จะปรากฏอย่างต่อเนื่องเช่นกัน!
ถึงตอนนั้นสถานการณ์ทั้งหมดของโลกชั้นล่างจะพลิกผันอย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนไปจนต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง!
ยิ่งใคร่ครวญหลินสวินก็ยิ่งตกใจ
ไม่แปลกที่พวกจักรพรรดิสงครามอู๋ยางกับจอมมุนีซิงเจียจะปกป้องพลังใจกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคโดยไม่สนใจอะไร
โชคชะตาที่แฝงอยู่ในนี้เย้ยฟ้าเกินไปแล้วจริงๆ!
……………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์