หุบเหวลึกล้ำ หมอกดำพลิกม้วน
หลินสวินสงบใจสัมผัส กลิ่นอายน่ากลัวถึงขีดสุดจำศีลอยู่ในส่วนลึกของหุบเหวนั้น ทำให้เขายังรู้สึกอึดอัดไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นความยินดีปรีดาอันยากบรรยายผุดขึ้นในใจ
คล้ายว่า… ในที่สุดตนก็พบกับพวกสามารถประลองได้คนหนึ่งแล้ว
ตูม!
หลินสวินยื่นมือตบลงไปที่หุบเหว แสงมรรคไร้เทียบเทียมพุ่งลงไป ระเบิดหมอกดำถาโถมนั้นแหลกกระจุย จนกระทั่งถึงส่วนลึกของหุบเหว
“รนหาที่ตาย!”
เสียงกึกก้องเหี้ยมเกรียมเสียงหนึ่งดังขึ้น ส่วนลึกของหุบเหวพลันมีเงาร่างสูงตระหง่านที่มีประกายแสงมรรคตระการตาร่างหนึ่งพุ่งออกมา ทั้งร่างชโลมอยู่กลางแสงสีเงินพิสุทธิ์
ระดับจักรพรรดิขั้นสามบริบูรณ์!
มิหนำซ้ำยังเกือบบรรลุระดับจักรพรรดิขั้นสี่แล้ว!
หลินสวินมองดูตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายออกในปราดเดียว ในใจสงสัยอย่างอดไม่ได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะพลังกดข่มของแดนลับแห่งนี้ เกรงว่าพลังที่เงาร่างสีเงินนี้มีจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
“ฆ่า!”
ขณะที่ครุ่นคิดเงาร่างสีเงินก็พุ่งเข้ามาแล้ว ซัดพายุสีเงินเต็มฟ้าพาให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน
หลินสวินไม่หลบไม่หนี ทะยานเข้าไปรับ
ตูม!
ชั่วพริบตาทั้งสองก็ประมือกันหลายสิบครั้ง ต่อสู้จนฟ้าหม่นดินหมอง แสงมรรคสาดกระเซ็น มีแต่กระแสเชี่ยวดับทำลายทุกแห่งหน
ประหนึ่งเทพสององค์กำลังชิงชัย
‘เจ้าผีนี่ถึงกับครอบครองพลังมหามรรคสูงส่ง มีจิตต่อสู้ที่สมบูรณ์…’
หลินสวินตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
ตอนที่สำรวจแดนลับก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่หลินสวินได้พบ ก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่สิ้นชีพไปไม่รู้นานเท่าไร รวมตัวอยู่ในพลังต้นกำเนิดมหามรรคแทบทั้งนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
แต่เงาร่างสีเงินตรงหน้านี้แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด!
ขณะเดียวกันเงาร่างสีเงินก็เหมือนรู้สึกตกตะลึง ตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร”
เงาร่างเขาพริบไหว แปลงเป็นแสงเคลื่อนไหวสีเงินเรียวยาวสายหนึ่งหลบไปไกล แววตามองดูหลินสวินอย่างฉงนสงสัย
“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร”
หลินสวินก็เก็บมือ แม้จะทึ่งกับสติปัญญาและพลังเจตจำนงของอีกฝ่าย แต่หลินสวินยังเชื่อมั่นว่าสามารถสังหารเขาได้ในครู่เดียว
“ฉายาจักรพรรดิของข้าคือ ‘วั่นคง’ ปีดึกดำบรรพ์ที่สามพันเจ็ดร้อย ปิดด่านอยู่ที่นี่ หยั่งรู้ศุภโชคแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรค”
ขณะที่เงาร่างสีเงินพูดก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง เป็นชายหนุ่มผู้มีคิ้วกระบี่เนตรดารา รูปลักษณ์หล่อเหลาองอาจ มีเพียงในดวงตาที่เผยกลิ่นอายกาลเวลากร้านโลก
“คนยุคดึกดำบรรพ์หรือ”
หลินสวินผงะไป “ขอเสียมารยาทสักหน่อย เจ้าปิดด่านถึงตอนนี้ผ่านไปชั่วกาลนานปีแล้ว ทำไมพลังปราณของเจ้ายัง… อ่อนแอปานนี้”
“อ่อนแอหรือ”
ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้เรียกตัวเองว่ามหาจักรพรรดิวั่นคงอึ้งไป คล้ายออกจะขัน “สหาย นี่เป็นถึงพื้นที่ต้นกำเนิดหมื่นมรรค และก็เป็นระเบียบของแดนลับแห่งนี้ที่รองรับได้เพียงพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสาม หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ถ้าข้าต้องการกำราบเจ้าก็ง่ายนิดเดียว”
พูดถึงช่วงท้ายเสียงของเขาก็เจือแววโอหังและเชื่อมั่นในตัวเอง
“ถ้าไม่ถูกข่มไว้ เจ้าจะมีมรรควิถีสูงปานไหน” หลินสวินถาม
“ตอนที่ข้าปิดด่านก็มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นหก ‘ไร้ขื่อแป’ ระหว่างที่ข้าปิดด่านมาเนิ่นนานก็หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ยอดมหามรรคทั้งปวงไปแล้ว มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าภายในหนึ่งวันจะทำลายธรณีประตูแห่งมรรคจักรพรรดิอย่างต่อเนื่อง ทะยานสูงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเก้า!”
มหาจักรพรรดิวั่นคงแววตาลุ่มลึก อวดดีเป็นที่สุด
แต่กลับพบว่าหลินสวินยิ้ม “พูดแบบนี้ เจ้าปิดด่านมานานขนาดนี้กลับยังไม่อาจทะลวงขั้นได้หรือ”
มหาจักรพรรดิวั่นคงไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยว่า “ทะลวงขั้นที่นี่จะชักนำให้พลังระเบียบสะท้อนกลับ อาจสามารถโชคดีหลุดรอดไปได้ แต่จะเสียโอกาสหยั่งรู้มหามรรคต่อ ได้ไม่คุ้มเสีย”
หลินสวินอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ “พูดแบบนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้เจ้าไม่เคยออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียวหรือ”
มหาจักรพรรดิวั่นคงส่ายหัว “มีแต่ที่นี่ที่สามารถสัมผัสได้ถึงนัยเร้นลับต้นกำเนิดหมื่นมรรค ยังไม่ได้หยั่งรู้เข้าใจโดยสมบูรณ์ จะจากไปทำไม”
ฝึกมรรคจนลุ่มหลง!
ทันใดนั้นหลินสวินก็ตระหนักได้ว่าเฒ่าชราที่ลุ่มหลงกับการฝึกปราณที่ได้พบคราวนี้ เกรงว่าจะไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปนานแล้ว
“สหายยุทธ์ เจ้ายังไม่บอกที่มาที่ไปของเจ้า” มหาจักรพรรดิวั่นคงเอ่ย
“หลินเต้ายวน ผู้คนบนโลกเรียกข้าว่า ‘จักรพรรดิเต้ายวน’” หลินสวินกล่าว
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” มหาจักรพรรดิวั่นคงส่ายหัว
หลินสวินยิ้มหยัน “ในกาลเวลานับไม่ถ้วนนี้เจ้าจำศีลอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าถามเจ้าหน่อย รู้จักจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์