ตอนที่ 2435 ประทับการต่อสู้
หนึ่งสาย สิบสาย ห้าสิบสาย…
อสนีสีเลือดปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ มากขึ้นเรื่อยๆ บ้างใหญ่หนาราวกับมังกรอันน่าเกรงขาม บ้างเรียวเล็กดั่งคมกระบี่ ล้วนไม่เกิดเสียงหรือกลิ่นอายใดๆ
เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดถึงที่สุด
หลินสวินพลันขนลุกเกรียว หนีออกไปไกลทันที
ปึงๆๆ!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ป้องกันอยู่รอบกายดุจถูกค้อนยักษ์ในมือเทพสวรรค์ทุบแรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดเสียงดังสนั่น
หลินสวินถูกซัดจนแทบกระอักเลือด หน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว โคจรพลังทั้งหมดห้อทะยาน ไม่กล้าลังเลสักนิด
มองจากไกลๆ ก็พบว่าสายฟ้าสีเลือดแน่นขนัดไล่โจมตีหลินสวินอย่างบ้าคลั่งเหมือนฉลามได้กลิ่นเลือด บนเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมีประกายสายฟ้าบาดตาปะทุออกมาไม่หยุด
ครู่หนึ่งผ่านไป
สายฟ้าสีเลือดที่เคลื่อนออกมาจากหมอกสีดำหายลับไปในที่สุด
สีหน้าหลินสวินยังซีดเผือดอยู่บ้าง แววตาเผยความเคร่งเครียด รู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์ยิ่งนัก
พลังสายฟ้าสีเลือดนั้นพิสดารและน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!
“นี่ก็คืออสนีเลือดอสูรหนึ่งในอสนีมืดหกฝ่าย หากถูกมันปกคลุมหรือปิดล้อม บรรพจารย์ขั้นเก้ายังประสบเคราะห์ได้”
แววตานกกระจอกเขียวเจือแววประหลาด “แต่ตามที่ข้ารู้มา ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา อสนีเลือดอสูรเพิ่งปรากฏไม่กี่ครั้ง พันหมื่นปียังแทบไม่มีใครพบเจอ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับได้เจอแล้ว…”
“พูดแบบนี้ ยังถือว่าข้าดวงดีมากใช่ไหม” หลินสวินเลิกคิ้ว
นกกระจอกเขียวหลุดขำ “เกรงว่าจะมีแต่คนดวงซวยอย่างเจ้าถึงคิดแบบนี้”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “อย่างน้อยคนอื่นก็ไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาว่าอสนีเลือดอสูรคืออะไร สำหรับข้าก็นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าอยากจะเจออสนีแกร่งเดรัจฉานสักหน่อยไหม” นกกระจอกเขียวเอ่ยอย่างมีเจตนาร้าย
หลินสวินสีหน้าอึมครึม ส่ายหัวทันที
ในเวลาต่อมา หลังจากเขาเดินหน้าต่อไปประมาณเจ็ดลี้ ในที่สุดก็ได้พบซากป้ายศิลาที่นกกระจอกเขียวกล่าวถึงป้ายนั้น
หมอกดำพลิกม้วน ด้านหนึ่งของทางน้ำพุเหลือง ซากป้ายศิลาสูงสามฉื่อปักเฉียง ทั้งตัวป้ายศิลามีสีดำเหมือนน้ำหมึก บนนั้นมีแต่ร่องรอยกระดำกระด่างตามกาลเวลา
กลางหน้าป้ายศิลาเห็นคำว่า ‘พญายม’ ที่สลักด้วยอักษรประหลาดอยู่รางๆ
หลินสวินเอ่ยว่า “เขตผนึกลึกลับนั่นก็อยู่ในส่วนลึกของซากป้ายศิลานี้หรือ”
นกกระจอกเขียวพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะไปสักครั้งจริงหรือ”
“ลองดูก็ไม่เสียหาย เห็นท่าไม่ดีข้าออกมาทันทีก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
ตาดำหลินสวินไหววาบ
ตอนนี้ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คืออภินิหารหยุดเวลา แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเขาจะไม่ใช้เด็ดขาด
เกิดถูกคนสังเกตเห็นเข้า จะต้องชักนำเภทภัยครั้งใหญ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้แน่
ถึงอย่างไรอภินิหารหยุดเวลานี้ก็มาจากพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน และในโลกยอดนิรันดร์ คนที่รู้จักพรสวรรค์นี้ก็มีไม่น้อย!
ทันทีที่ถูกคนมองออก เกรงว่าตระกูลลั่วจะต้องมาหาทันที
และแม้ไพ่ตายอื่นของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็แทบไม่มีไพ่ตายที่สามารถคุกคามบรรพจารย์มรรคได้
นี่ทำให้ในใจหลินสวินรู้สึกวิกฤตอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขากล้าแน่ใจว่าในแดนใหญ่พันศึกนี้ จะต้องมีพวกน่ากลัวอย่างบรรพจารย์มรรคปรากฏตัวแน่!
ดังนั้นถ้าสามารถเก็บ ‘เพลิงระเบียบดับสูญ’ จำนวนหนึ่งได้ เช่นนั้นก็เท่ากับครอบครองไพ่ตายที่สามารถทำให้บรรพจารย์มรรคหวาดหวั่นได้!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลินสวินคิดจะไปสำรวจสักครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าต้องระวังหน่อย” เสียงนกกระจอกเขียวก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ในแดนใหญ่พันศึกมีเขตผนึกลึกลับมากมาย
แต่ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีคนน้อยนักที่จะกล้าไปเขตผนึกลึกลับตรงหน้านี้!
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ โคจรมรรควิถีทั้งตัวถึงสภาวะสูงสุด จากนั้นก็เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา แล้วจึงเดินไปยังด้านหนึ่งของซากป้ายศิลาพญายมนั้น
ฟ้าดินแห่งนี้อบอวลด้วยหมอกดำโดยสมบูรณ์ เงียบสงัดไร้เสียง ขนาดเสียงลมยังเงียบกริบ
ต่อให้หลินสวินใช้เปิดตาทิพย์สืบเสาะ ก็เห็นทัศนียภาพได้ในขอบเขตพันจั้งเท่านั้น
เมื่อเขาเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกอึดอัดและหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูกก็ผุดขึ้นทั้งตัว ทำให้ร่างกายเขาตึงเครียดขึ้นมา
คล้ายกับว่าส่วนลึกของหมอกดำมืดนั้นมีสิ่งดุร้ายถึงชีวิตซ่อนอยู่
สีหน้าหลินสวินก็เคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย แต่ละก้าวที่เดินเข้าไปไม่กล้าเลินเล่อ
ดวงอาทิตย์สีม่วงมืดหม่นจมอยู่ในชั้นเมฆอย่างเงียบงัน
ไม่รู้เมื่อไรที่ดวงจันทร์สีเลือดแดงฉานดวงหนึ่งลอยอยู่กลางเวิ้งฟ้าที่อบอวลไปด้วยหมอกดำนั้น แผ่แสงสีโลหิตอันแปลกพิสดารออกมา
หลินสวินเงยมองดวงจันทร์สีเลือดแดงฉานนั้นคราหนึ่งแล้วหนาวสะท้านในใจอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเอง…
สวบๆๆ…
จู่ๆ จุดดำจุดแล้วจุดเล่าก็ปรากฏขึ้นเหนือเวิ้งฟ้าสีดำสนิทนั้น รวมตัวกันใต้จันทร์สีเลือดอย่างแน่นขนัด ไม่กี่อึดใจก็มารวมกันเกินพันจุดแล้ว
เมื่อมองอย่างละเอียด นั่นถึงกับเป็นผีร้ายที่ร่างกายควบรวมขึ้นจากหมอกดำ ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงชาดตนแล้วตนเล่า!
และใจกลางก็มีโครงกระดูกสีเลือดมหึมาโครงหนึ่งลอยอยู่
โครงกระดูกนั้นขาวโพลนเปล่งปลั่ง ใหญ่เท่าภูเขา ฟันแหลมคมเหมือนดาบขอทิ่มลง และที่ดวงตาคู่นั้นก็มีเพลิงผีสีเขียวมรกตสองกลุ่มแผดเผาอยู่ เปลวเพลิงทะลุเมฆา ย้อมห้วงอากาศให้เป็นแสงเพลิงสีเขียวซีดทั้งแถบ
ทันทีที่โครงกระดูกสีเลือดมหึมานี้ปรากฏตัวขึ้นบนเวิ้งฟ้า ผีร้ายชุดเลือดนับพันก็พากันก้มหัวคารวะ ทำความเคารพให้ ในปากก็ส่งเสียงเรียกหัวเราะร้ายกาจคลุมเครือและเล็กแหลม สะท้านสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน น่าตกตะลึงถึงที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์