ตอน ตอนที่ 2515 ความจริงจากปากลั่วหลิง จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 2515 ความจริงจากปากลั่วหลิง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 2515 ความจริงจากปากลั่วหลิง
ดึกดื่นค่ำคืน
ไป๋เจี้ยนเฉินสองมือไพล่หลัง นิ่วหน้าเงียบงัน ผมขาวดุจหิมะปลิวไปตามลม ใบหน้าหล่อเหลาดั่งเด็กหนุ่มปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
เขารู้ตื้นลึกหนาบางของอวิ๋นมู่เจอดีกว่าใครๆ ทั้งยังรู้ด้วยว่าอวิ๋นมู่เจอเป็นบุคคลแห่งยุคที่น่ากลัวขนาดไหน
อย่าเห็นว่ายามเผชิญหน้ากับตน เขาสุภาพอ่อนน้อม มองตนเป็นผู้อาวุโส
แต่ไป๋เจี้ยนเฉินรู้ดีว่าในสายตาอวิ๋นมู่เจอแล้ว ตนไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่น ไม่ได้รับความสำคัญจากเขา ไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างจริงใจจริงๆ
ฟ้าดินไร้เมตตา ถือหมื่นชีวาเป็นเศษฟาง
ประโยคนี้หมายความว่า ฟ้าดินไม่สนใจว่าจะเมตตาปรานีหรือไม่ มองสรรพสิ่งเหมือนเศษฟาง ไม่ได้แตกต่างกัน
ในความเห็นของไป๋เจี้ยนเฉิน อวิ๋นมู่เจอก็มีทัศนะเช่นนี้
เพราะเขาแข็งแกร่งพอ
แข็งแกร่งจนผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ไม่ว่าจะเป็นมดอันต่ำต้อยหรือระดับจักรพรรดิที่กล้าแกร่ง ก็ไม่แตกต่างอะไรในสายตาเขา
แต่จู่ๆ คนเช่นนี้กลับเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมาอย่างง่ายๆ ก่อนจากไป นี่ทำให้ไป๋เจี้ยนเฉินยังประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ถึงขั้นตกตะลึง
เพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้คนอย่างเขาเกิดความคิดปฏิปักษ์ต่อชายหนุ่มที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราผู้หนึ่งได้
ไป๋เจี้ยนเฉินเดาไม่ออก
แต่เขากล้าแน่ใจว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เพราะตู๋กูโยวหรันแน่
ด้วยพฤติกรรมของอวิ๋นมู่เจอ ไม่มีทางเกิดไอสังหารเช่นนี้เพราะหึงหวงหรือแย่งชิงสตรีอยู่แล้ว
ถ้ามองอวิ๋นมู่เจอเช่นนี้ นั่นก็จะดูเบามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิผู้เป็นดั่งตำนานคนหนึ่งเกินไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นมู่เจอยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของตู๋กูโยวหรัน ทั้งสองฝึกปราณด้วยกันตั้งแต่เด็ก
หลายปีมานี้ถ้าอวิ๋นมู่เจอแสดงความรักอย่างชัดเจน เกรงว่าตระกูลตู๋กูคงยินดีที่ได้เห็นทั้งสองลงเอยกันเป็นที่สุด จะยังเปลืองสมองมาจัดแจงเรื่องดูตัวให้ตู๋กูโยวหรันไม่เลิกได้อย่างไร
กล่าวอย่างไม่เกินจริงได้ว่า ถ้าใครคิดว่าอวิ๋นมู่เจอจะเป็นแค่คนที่หลงใหลสตรีเช่นนี้ สมองต้องมีปัญหาแน่แล้ว
แต่…
เป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้อวิ๋นมู่เจอเกิดไอสังหารเช่นนี้
นิ่งเงียบอยู่นาน ไป๋เจี้ยนเฉินก็ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ดวงตาฉายแววแน่วแน่
……
หลังจากหลินสวินบอกลาพวกเซี่ยงเสี่ยวหยวนและกลับมายังโรงเตี๊ยม ไม่รอพักผ่อนก็เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแล้วปล่อยลั่วหลิงที่ถูกกำราบอยู่ในนั้นออกมาทันที
หลังจากสังหารผู้ฝึกปราณจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลที่โบราณสถานมหามรรคก่อนหน้านี้ เขากำราบลั่วหลิงไว้คนเดียว เป้าหมายก็เพื่อจะได้รู้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับตระกูลลั่ว!
ลั่วหลิงลมหายใจรวยริน หมอบอยู่กับพื้น ร่างงามวิจิตรผอมเพรียวมีส่วนสัดอ้อนแอ้นอรชร
หลินสวินยังต้องยอมรับว่ารูปโฉมของสตรีนางนี้โดดเด่นเป็นที่สุด ผิวขาวเปล่งปลั่ง ผุดผาดเกินธรรมดา มิน่าถึงทำให้เหวินเซ่าเหิงตกหลุมรัก
“ในเมื่อฟื้นแล้วก็มาคุยกันหน่อยเถอะ” หลินสวินนั่งบนเก้าอี้ฝั่งหนึ่ง ท่าทางสงบนิ่ง
ลั่วหลิงแหงนหน้าขึ้น เนตรดาราทั้งสองมีแต่ความเฉยชา เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจับข้าไว้ก็จะทำให้ข้าก้มหัวให้ได้หรือ”
หลินสวินยิ้ม ชี้เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นั่งลงคุยกันเถอะ”
ลั่วหลิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง คลานตัวลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วนั่งลง นางสีหน้าซีดเซียว กลิ่นอายอ่อนแอ แต่ทุกอิริยาบถยังสุขุมเยือกเย็นเหมือนเคย
“ข้ารู้ว่าในจิตวิญญาณเจ้ามี ‘ประทับกักเทพ’ อยู่ ต่อให้ค้นวิญญาณไปก็เปลืองแรงเปล่า” หลินสวินมองนางพลางเอ่ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังพูดพล่ามอะไรอยู่” ลั่วหลิงเอ่ยเย็นชา
“ค้นวิญญาณไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะกำจัดเจ้าไม่ได้” หลินสวินเอ่ย “เหวินเซ่าเหิงก็ถูกข้าฆ่าตายแบบนี้ หาไม่เจ้าคิดว่าทำไมตระกูลเหวินถึงได้แค้นข้าขนาดนั้น”
ลั่วหลิงอึ้งไป ก่อนหัวเราะเย็นชาเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าจะลองดูก็ได้ ดูซิว่าข้าจะกลัวตายหรือไม่”
หลินสวินยิ้ม “ข้าแค่อยากคุยเรื่องไม่สลักสำคัญบางอย่างเท่านั้น เจ้าไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ ความจริงแล้วข้ารู้ดีว่าในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ ตระกูลลั่วจะต้องส่งคนที่เก่งกาจยิ่งกว่ามาต่อกรกับข้ามากขึ้นแน่ สำหรับข้าแล้ว เรื่องนี้ก็หมายความว่ามีโอกาสได้รู้เรื่องที่ข้าอยากรู้มากยิ่งขึ้น”
เขาหยุดไป แววตาลุ่มลึก “ถึงอย่างไรคนตระกูลลั่วก็ไม่เห็นไม่กลัวตายอย่างเจ้า”
คำพูดเดียวทำให้ลั่วหลิงหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยว่า “เจ้าอยากคุยเรื่องอะไรกันแน่”
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินสวินหุบลง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็คุยเรื่องความแค้นระหว่างแม่ข้ากับพวกเจ้าตระกูลลั่ว”
ลั่วหลิงอึ้งไป “เจ้าไม่รู้หรือ”
หลินสวินเอ่ย “ก่อนหน้านี้ก็พอจะเดาได้บ้าง”
พอพูดจบนางก็พ่นลมหายใจขุ่นออกมายาวๆ เอ่ยว่า “อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องพยายามเถียงอีกหรอก สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดไปแล้ว จะฆ่าจะแกงก็สุดแท้แต่เจ้า”
สีหน้ามีแต่ความสงบนิ่งแน่วแน่
หลินสวินจ้องนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คนตระกูลลั่วในตอนนี้ต่างคิดอย่างเจ้าหรือ”
“ใช่แล้ว!” ลั่วหลิงเอ่ยโดยไม่คิด
หลินสวินนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไรอีกพักใหญ่
ภาพอันผิดปกตินี้ทำให้ลั่วหลิงใจกระตุก กล่าวว่า “ถ้าเจ้ารับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ หวังจะรับผิดแทนแม่เจ้า ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ขอเพียงเจ้าส่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ออกมาและกลับตระกูลลั่วไปกับข้า ก็เท่ากับทำคุณล้างโทษแล้ว”
“ทำคุณล้างโทษหรือ”
หลินสวินยิ้ม แต่แววตากลับไร้ความอบอุ่น มีแต่ความเย็นชาถึงขีดสุด “ในตอนที่ข้าเกิด ตระกูลลั่วก็ทำลายทุกอย่างที่ข้าครอบครองอยู่ เจ้าคงยังไม่รู้ว่าพวกเจ้าตระกูลลั่วถูกข้าตัดสินโทษประหารอยู่ในใจมาตั้งนานแล้ว!”
ตั้งแต่เพิ่งถือกำเนิด เขาก็ถูกชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดไป บิดามารดาหายสาบสูญไปอย่างประหลาด สุดท้ายถูกท่านลู่รับไปเลี้ยงดูจนเติบโต แต่การปรากฏตัวของเหยี่ยนซิงกลับทำลายคุกเหมืองใต้ดิน ทำให้ท่านลู่ก็หายไปไร้ร่องรอยไปด้วย…
กระทั่งเติบใหญ่ เคราะห์สังหารมากมายในเส้นทางฝึกปราณนี้ เกินครึ่งก็เป็นเพราะตระกูลลั่วทั้งนั้น!
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิไร้นามหรือจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ยังมีลั่วซิงเฟิง ลั่วเฉิน… มากมายเกินไปแล้ว!
ความแค้นนี้ประทับอยู่ในกระดูกหลินสวินมานานแล้ว!
“ที่เจ้าควรกล่าวโทษคือแม่ของเจ้า เป็นเพราะนางบ่มเพาะผลลัพธ์อันขมขื่นเช่นนี้เอง ความโชคร้ายของเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของผลลัพธ์อันขมขื่นนี้” ลั่วหลิงยิ้มหยัน
หลินสวินยื่นมือมาเชยคางลั่วหลิงขึ้น มองตานางแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “สักวันหนึ่งตอนตระกูลลั่วถูกทำลายลง ข้าก็จะบอกเจ้าว่าที่เจ้าควรกล่าวโทษไม่ใช่ข้าหลินสวิน แต่เป็นพวกเจ้าตระกูลลั่ว ผลลัพธ์อันขมขื่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าตระกูลลั่วบ่มเพาะ และความโชคร้ายที่เจ้าประสบ เรียกว่าได้รับโทษตามสมควร”
ลั่วหลิงยังหัวเราะหยันเหมือนเดิม “อย่างเจ้ายังคิดจะทำลายตระกูลลั่วหรือ เจ้าคงไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรเรียกว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะ ต่อให้ตระกูลลั่วจะตกต่ำแค่ไหน พวตัวจ้อยที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างเจ้าก็สั่นคลอนไม่ได้อยู่ดี!”
วู้ม…
กลางฝ่ามือหลินสวิน ม้วนหยกม้วนเปล่งละอองแสง จารึกภาพนี้เอาไว้
“เจ้าจะทำอะไร” ลั่วหลิงนิ่วหน้า
หลินสวินเก็บม้วนหยก ยิ้มน้อยๆ เผยฟันสีขาวโพลนเป็นระเบียบทั้งปาก เอ่ยว่า “รอตระกูลลั่วพังพินาศ ข้าจะให้เจ้าได้ดูสิ่งที่เจ้าพูดมาในวันนี้อีกครั้ง ถือเสียว่าเป็นที่ระลึก”
พอเห็นหลินสวินที่สีหน้าเรียบเฉย พูดคุยยิ้มแย้มอย่างเยือกเย็น ลั่วหลิงก็ใจหล่นวูบอย่างไม่อาจควบคุมโดยไม่มีสาเหตุ
……………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์