สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2646 ความโกรธแค้นของตระกูลลั่ว – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 2646 ความโกรธแค้นของตระกูลลั่ว ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 2646 ความโกรธแค้นของตระกูลลั่ว
เขาเทพหลังมังกร
อาณาเขตของตระกูลลั่ว
หลังจากข่าวที่ลั่วเฟิงถูกจับตัวไปส่งกลับมา ตระกูลลั่วทั้งบนล่างล้วนสะท้านไหว ไม่มีใครไม่ฮือฮา
“ใครมันบังอาจเช่นนี้ ถึงกับกล้าจับคนตระกูลลั่วของข้าไป”
“น่าชังนัก!”
“ในเมื่อกล้าทำเช่นนี้ เกรงว่าภูมิหลังคงไม่ธรรมดา…”
ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นในตระกูลลั่ว ปั่นป่วนจนผู้คนแตกตื่น
แต่เสียงพวกนี้กลับแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน
คนตระกูลลั่วสายรองไม่มีใครไม่โกรธแค้นด้วยเรื่องนี้ ส่วนคนตระกูลลั่วสายหลัก แม้ว่าประหลาดใจ แต่ในใจกลับมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
หลายปีนี้ลั่วเฟิงข่มเหงคนตระกูลลั่วสายหลักไม่น้อย ทำให้ผู้คนเคียดแค้นอยู่ก่อนแล้ว
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ บรรยากาศในเรือนหลักของตระกูลลั่วก็กดดันคร่ำเคร่งเป็นอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่ลั่วทงเทียนประสบเคราะห์หายตัวไป เวลานี้ลั่วฉงที่ยึดอำนาจผู้นำตระกูลลั่วสีหน้าอึมครึมแล้ว สะกดกลั้นความกระสับกระส่ายและไอสังหารในใจเต็มกำลัง
ผมเผ้าหนวดเคราของเขาดุจสีหมึก สวมชุดม่วงทั้งตัว รูปร่างสูงผอม นั่งอย่างสบายๆ ก็มีความน่าครั่นคร้ามอยู่ครามครัน
ในเรือนหลักเหล่าคนใหญ่คนโตของตระกูลลั่วสายรองมาอยู่รวมกัน แต่ละคนสีหน้าไม่น่าดู
แม้ว่าลั่วเฟิงเป็นคนรุ่นหลัง แต่กลับเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเพียงคนเดียวที่ตระกูลลั่วบ่มเพาะได้ในช่วงหลายปีมานี้
ความสำคัญด้านฐานะของเขา ถึงขั้นเหนือกว่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกเขาอยู่โข!
แต่ตอนนี้กลับถูกคนลักพาตัวไปจากงานชุมนุมถกมรรคนั่นกะทันหัน นี่ก็เหมือนถูกคนฟาดกระบองใส่โดยไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขารับมือไม่ทัน
“ในน่านฟ้าที่หกนี้ คนที่กล้าทำเช่นนี้ต้องเป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างไร้ข้อกังขา ข้าถึงขั้นสงสัยว่าศัตรูมีโอกาสสูงว่าจะเป็นตระกูลเหยาหรือตระกูลหลิง!”
คนผู้หนึ่งกล่าวกราดเกรี้ยว “นับตั้งแต่ผู้อาวุโสอวิ๋นซานประสบเคราะห์ในน่านฟ้าที่ห้า ช่วงหลายปีมานี้สองขุมอำนาจนี่ทยอยลงมือ รุกรานอาณาเขตที่ตระกูลลั่วของพวกเราครอบครอง เหมือนไม่เห็นพวกเราตระกูลลั่วอยู่ในสายตาแล้ว ก็มีแค่พวกเขาที่เป็นไปได้สูงว่าจะลงมือกับลั่วเฟิง”
ในใจทุกคนต่างพลิกม้วนไปพักหนึ่ง
ตระกูลเหยากับตระกูลหลิงอยู่ร่วมกับพวกเขาตระกูลลั่วในแคว้นเทพวารีนภานี้ ปักหลักในพื้นที่หนึ่งราวกับยืนประชันหน้ากันสามฝ่าย
หลายปีมานี้พวกเขาเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในที่แจ้ง ความจริงในที่ลับมีการปะทะกันไม่รู้กี่ครั้ง
ทั้งหลายปีมานี้ตระกูลเหยากับตระกูลหลิงยังคร้านจะปิดบังอีก นำการต่อสู้มาวางบนที่แจ้งโดยตรง
จนถึงปัจจุบันในอาณาเขตที่ตระกูลลั่วครอบครอง มีสองส่วนที่ถูกสองตระกูลนี้ยึดไปแล้ว!
ใช่ว่าตระกูลลั่วไม่เคยตอบโต้ แต่กลับยากจะขัดขวางทุกอย่างนี้
สาเหตุอยู่ที่หลายปีนี้ตระกูลลั่วมีคนบาดเจ็บล้มตายต่อเนื่อง อานุภาพก็อ่อนแอลงฮวบฮาบ
โดยเฉพาะการตายของลั่วอวิ๋นซานเมื่อไม่กี่ปีก่อน ถือเป็นการโจมตีอันหนักหน่วงถึงขั้นไม่มีอะไรยิ่งกว่าจริงๆ ทำให้ตระกูลลั่วเสียหายหนัก อิทธิพลที่มีสู้ตระกูลเหยาและตระกูลหลิงไม่ได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีความมั่นใจพอไปฉีกหน้าสองตระกูลนี้โดยสิ้นเชิง
ต่อให้เสียอาณาเขตภายใต้การปกครองไป ก็ทำได้เพียงบีบจมูกอดทน
แต่ตอนนี้คนในตระกูลที่สำคัญอย่างลั่วเฟิงถึงกับถูกลักพาตัว นี่เท่ากับสะกิดต่อมโมโหของพวกเขาชัดๆ ทำให้พวกเขาไม่อาจทนได้อีก
“คาดเดาส่งเดชไปก็เท่านั้น ด้วยกำลังของพวกเราตระกูลลั่วตอนนี้ ไม่อาจไปเปิดศึกรอบด้านกับตระกูลเหยาและตระกูลหลิงได้แต่แรก จากมุมมองข้าคิดว่าควรสืบข่าวให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน”
มีคนกล่าวเสียงขรึม
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นอึดอัดใจไปพักหนึ่ง รู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง
หวนนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว พวกเขาตระกูลลั่วเป็นถึงยักษ์ใหญ่ที่ยืนตระหง่านบนน่านฟ้าที่เจ็ด เป็นขุมอำนาจชั้นยอดที่กล้าไปงัดข้อกับสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด
แต่ตอนนี้เล่า
เหมือนสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำ เสือพลัดถิ่นถูกสุนัขรังแกจริงๆ!
“ต้องโทษบ่าวรับใช้เฒ่าอย่างลู่ป๋อหยา ปีนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาพาลั่วชิงสวินกับลั่วชิงเหิงไป มีหรือจะเกิดเรื่องมากขนาดนั้น”
มีคนด่าว่า แฝงความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้อ หลายปีนี้ตระกูลลั่วของพวกเราไม่เจออุปสรรคมากเกินไปหน่อยหรือ… หรือสวรรค์ไม่คุ้มครองตระกูลลั่วของพวกเราแล้วจริงๆ”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป กลัวว่าพวกเราคง… ซ้ำรอยเหมือนปีนั้น ไม่อาจยืนอยู่ในน่านฟ้าที่หกนี้ได้อีก…”
ในเรือนใหญ่มีเสียงทอดถอนใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลลั่ว มีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลลั่วยากแค้นและสุ่มเสี่ยงเพียงใด
“พอแล้ว!”
บนที่นั่งหลักลั่วฉงเอ่ยปากเย็นชา กลบเสียงทั้งหมดในเรือนใหญ่ ทำให้ทุกคนทั้งที่นั้นผงะในใจ
“ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ว่าใครจับตัวเฟิงเอ๋อร์ไป ไม่ได้มาฟังพวกเจ้าบ่น!”
นัยน์ตาลั่วฉงดุจอสนี สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาน่าพรั่นพรึง
ทั้งเรือนใหญ่เงียบสงัด ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
หากรู้ข่าวที่แน่ชัด พวกเขามีหรือจะนั่งอยู่ตรงนี้
“ผู้นำตระกูล มีข่าวแล้ว มีข่าวของนายน้อยลั่วเฟิงแล้ว!”
ทันใดนั้นนอกเรือนใหญ่มีเสียงตื่นเต้นหนึ่งดังขึ้น ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ส่งมอบม้วนหยกหนึ่งให้
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ลั่วฉงสูดหายใจลึกๆ แทรกจิตรับรู้เข้าไปในม้วนหยก
สายตาของเหล่าบุคคลสำคัญในที่นั้นกลับมองไปทางลั่วฉงอีกครั้ง
“ผู้นำตระกูล สถานการณ์ไม่ดีหรือ” มีคนถาม
ลั่วฉงเงียบไปครู่หนึ่งพลางกล่าว “อีกฝ่ายบอกให้พวกเรานำศาสตรามรรคอมตะสิบชิ้นและตำราเทพไร้ขอบเขตไป ‘ทะเลอสนีแยกฟ้า’ เพื่อแลกเปลี่ยนภายในสิบวัน ไม่อย่างนั้นจะฆ่าลั่วเฟิงทิ้ง”
เหล่าคนสำคัญในที่นั้นเอะอะทันที แต่ละคนทั้งโกรธแค้นและเดือดดาลมีโทสะ
“ศาสตรามรรคอมตะสิบชิ้นหรือ อีกฝ่ายคิดว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เป็นอะไร เศษเหล็กซากทองแดงรึ เสียสติจริงๆ!” มีคนโกรธจนผมตั้ง
ศาสตรามรรคอมตะหลอมมาจากวัตถุอมตะนานัปการ หายากและมีค่าเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปมีแค่ระดับอมตะที่ครอบครองและหลอมขึ้นมาได้ ทั้งยังมีจำนวนน้อยมาก
ทั่วน่านฟ้าที่หก จำนวนศาสตรามรรคอมตะที่เผ่าจักรพรรดิอมตะทุกตระกูลครอบครองก็มีจำกัดมาก
ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยปากก็ต้องการศาสตรามรรคอมตะมากเช่นนี้ หากตกปากรับคำ นั่นก็เท่ากับคว้านทรัพย์ในคลังที่เหลืออยู่ของตระกูลลั่วออกมาหมดชัดๆ!
“ตำราเทพไร้ขอบเขตคือยอดสมบัติที่ผู้อาวุโสทงเทียนเหลือทิ้งไว้ ภายในซ่อนนัยเร้นลับไร้สิ้นสุด เป็นถึงสมบัติพิทักษ์ตระกูลของพวกเราตระกูลลั่ว อีกฝ่ายยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้ ช่างทะเยอทะยานโฉดชั่วจริงๆ น่าโมโหนัก!”
คนอื่นก็พากันเอ่ยปาก สีหน้าอึมครึมเป็นพิเศษ
“ช่วยคนก็ต้องช่วย สมบัติ… ก็ให้ไม่ได้เด็ดขาด!”
มีคนกล่าวด้วยไอสังหารแผ่ซ่าน “ในเมื่ออีกฝ่ายนัดว่าจะเจอกันที่ทะเลอสนีแยกฟ้า นี่กลับเป็นการให้โอกาสพวกเรา พวกเราบุกสังหารเข้าไปโดยตรงก็สิ้นเรื่อง!”
ทั้งมีคนเสนอ “สมบัติคงต้องเตรียมไว้ก่อน ถ้าสถานการณ์ไม่เข้าทีก็ยังเหลือทางรองรับ”
ลั่วฉงพยักหน้า เขาใจเย็นลงแล้ว เอ่ยว่า “อีกฝ่ายกล้ายื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้ ต้องเตรียมตัวมานานและเตรียมการมาก่อนแน่ เฟิงเอ๋อร์เป็นถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่กลับถูกคนจับตัวไปโดยไร้สุ้มเสียงในงานชุมนุมถกมรรคที่มีหมื่นสายตาจับจ้อง หากคาดเดาตามนี้ คนที่ลงมือต้องเป็นระดับอมตะอย่างไร้ข้อกังขา”
“นี่ก็หมายความว่าหากมุ่งหน้าไปทะเลอสนีแยกฟ้า อย่างน้อยพวกเราก็ต้องมีระดับอมตะคนหนึ่งนำขบวนไปด้วย”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วถอนใจยาวพลางกล่าว “แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสอวิ๋นเหอกำลังปิดด่าน ส่วนข้ามีฐานะเป็นผู้นำตระกูล ไม่อาจบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว นี่ออกจะตึงมืออยู่บ้าง…”
ทุกคนล้วนขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา
ว่ากันตามจริงคือตระกูลลั่วในตอนนี้สู้แต่ก่อนไม่ได้ การตายของลั่วอวิ๋นซานทำให้สถานการณ์ของตระกูลลั่วเปลี่ยนเป็นเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“หากเจ้านำตำราเทพไร้ขอบเขตให้ข้าตอนนี้ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้เอง”
ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าเจือแรงดึงดูดหนึ่งพลันดังขึ้น
ก็เห็นเงาร่างสูงโปร่งเพรียวบางหนึ่งเดินนวยนาดมาจากนอกเรือน
นางมวยผมสีดำสนิทไว้ เผยใบหน้างามที่ดูสง่าแต่ไม่ขาดความอ่อนหวาน ลำคอระหงขาวดุจหิมะ ผิวผ่องมีน้ำมีนวล ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มก็บดบังร่างประทับจิตนั้นของนางไม่อยู่ ทุกอิริยาบถท่วงท่ามีกลิ่นอายสูงส่งเหมือนติดตัวมาแต่กำเนิด
เหล่าคนสำคัญในที่นั้นลุกขึ้นพร้อมกันทันที สีหน้าเคร่งขรึม
แม้แต่ลั่วฉงซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลักก็อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงหยัดร่างขึ้น ฝืนยิ้มก้าวไปต้อนรับพลางกล่าว
“ฮูหยินมาได้อย่างไร”
……………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์