ตอนที่ 2665 รับศึกเพียงลำพัง
เสียงดังสนั่นสะท้านฟ้า ไอสังหารดั่งกระแสธาร ทำให้ท้องฟ้ายังดูหมองลง
“ตระกูลจู้ก็ถึงกับมาแล้วหรือ”
หลายคนเหลือบมอง ขนาดพวกเหวินเทียนซาง เหิงจ้งกู่ หงเสวียนตูและเฮ่อหวั่นเจินยังเผยสีหน้าผิดคาด
เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงว่าตระกูลจู้ที่ได้ครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์ ช่วงนี้กำลังเอาแต่วางแผนย้ายตระกูลไปที่น่านฟ้าที่เจ็ดก็ถึงกับมาเยือนเช่นกัน
ผู้มาเยือนมีเพียงคนเดียว เงาร่างเป็นภาพมายาคลุมเครือไม่อาจเห็นได้ชัดเจนหรือมองทะลุได้ แต่ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวและแข็งแกร่งของเขา ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ไม่ได้ปกปิดสักนิด
ท่ามกลางความเลือนรางเหมือนมีภูเขาศพทะเลเลือดกองทับถมอยู่ข้างหน้า จินตนาการได้ยากนักว่าคนผู้นี้เข่นฆ่าไปแล้วกี่ชีวิต
แม้แต่คนของเผ่าจักรพรรดิอมตะสี่ตระกูลที่เหลือยังรู้สึกปรับตัวไม่ทัน กลิ่นคาวเลือดของคนผู้นี้เข้มข้นยิ่งนัก น่ากลัวเกินไป ส่งผลต่อจิตใจคน
จู้จิ่วเจียง!
ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นดับเทพตระกูลจู้!
ไม่นานนักฐานะของผู้มาเยือนก็ถูกมองออก ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด
อย่าเห็นว่ามีแค่จู้จิ่วเจียงคนเดียว แต่อานุภาพดุดันของเขาคนเดียวก๋สามารถทำให้คนในระดับเดียวกันหวาดหวั่นแล้ว
“หลินสวิน ต้องตาย!”
คำพูดของจู้จิ่วเจียงเรียบง่ายนัก เพียงไม่กี่คำแต่กลับเผยท่าทีของตระกูลจู้แล้ว
“สหายยุทธ์ตระกูลลั่ว พวกเจ้าก็เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว จะส่งตัวหลินสวินเพื่อปกป้องตระกูลลั่ว หรือตระกูลลั่วจะลงหลุมไปกับเจ้าหมอนี่ พวกเจ้าเลือกเอาเองเถอะ”
เหวินเทียนซางยิ้ม แววตาเย็นเยียบ
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ มองไปทั้งน่านฟ้าที่หก เผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลใดจะกล้าต่อต้าน
ในตระกูลลั่วบรรยากาศกดดันถึงขีดสุด หลายคนจะหายใจยังลำบาก สีหน้าเหยเก
เคราะห์สังหารคราวนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ทั้งยังใหญ่โตน่ากลัวเกินไป เผ่าจักรพรรดิอมตะห้าตระกูลนั้นต่างส่งผู้ยิ่งใหญ่ระดับอมตะมากมายมา นี่เห็นชัดว่าวางแผนไว้ก่อนแล้ว!
พวกลั่วเซียวยังนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ สีหน้าอึมครึมไม่สู้ดี รู้สึกไม่สบายใจนัก
นึกย้อนไปถึงตอนนั้นยามเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ยังอยู่ ต่อให้เป็นน่านฟ้าที่เจ็ดก็ไม่มีขุมอำนาจใดกล้าปฏิบัติกับตระกูลลั่วเช่นนี้
แต่ตอนนี้ในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้ กลับมีเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายขนาดนี้กล้าข่มขู่พวกเขาตระกูลลั่วอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง แค่อ้าปากก็กล่าวว่าจะกำจัดตระกูลลั่ว เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอดสูอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าพวกเจ้าไม่เลือกอีก ก็อย่าโทษที่พวกเราลงมือเอง”
หงเสวียนตูตวาดลั่น เสียงดั่งอสนีบาตก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
พวกเขาเผ่าจักรพรรดิอมตะห้าตระกูลมีเหล่าระดับอมตะนำทัพมา แต่ละคนต่างมีพลานุภาพคับฟ้า เจิดจ้าไปทั้งตัว แค่เพียงอานุภาพเช่นนั้นก็ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้จมสู่ความเงียบสงัด สะท้านใจคน
นอกจากพวกคนสำคัญอย่างลั่วเซียวที่ยังพอเยือกเย็นได้ คนอื่นๆ ในตระกูลลั่วต่างรู้สึกหวาดผวา
นี่ใม่ใช่ความขี้ขลาด แต่เป็นความกดดันที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ เฉกเช่นมดเผชิญหน้ากับนกเหยี่ยว เล็กจ้อยและไร้พลัง
เพราะระดับห่างชั้นกันมากเกินไปแล้ว ระดับอมตะมาเยือน ความน่าเกรงขามเช่นนี้สูงส่งหาใดเทียบ ย่อมไม่อาจรับได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระดับอมตะถึงสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ พลานุภาพเช่นนั้นทำให้ลูกหลานตระกูลลั่วหลายคนแทบจะทรุดยวบลงไปกับพื้น
นี่ก็คือระดับอมตะ หยิ่งผยองอยู่บนจุดสูงสุดของโลก สูงส่งเหนือใคร หากขุ่นเคือง สุริยันจันทราล้วนเปลี่ยนสี ฟ้าดินจ่อมจม สรรพชีวิตจะจมสู่ความครั่นคร้ามครั้งใหญ่ทั้งสิ้น!
ในช่วงเวลาปกติระดับอมตะไม่อาจพบเห็นได้สักนิด ลึกลับและสูงส่ง ควบคุมดูแลขุมอำนาจหนึ่ง แม้ไม่ปรากฏตัวบนโลกแต่กลับสยบแปดทิศ ทำให้ศัตรูภายนอกไม่กล้ามาล่วงเกิน
แต่ในวันนี้ระดับอมตะกลับปรากฏตัวพร้อมกันสิบกว่าคน ชี้ปลายหอกมายังตระกูลลั่ว เหตุการณ์นี้ราวกับฟ้าถล่ม ทำให้ผู้คนไม่อาจกดข่มความกลัวที่เกิดขึ้นในใจได้
ถ้าไม่ส่งหลินสวินให้ ศึกนี้ต้องปะทุขึ้นแน่!
“ส่งเจ้ามารชั่วหลินสวินนี่มา อย่าดิ้นรนไร้สาระอีกเลย!”
“เร็วเข้า!”
“ความอดทนข้ามีจำกัด ถ้าหมดความอดทนก็ไม่ถือสาการทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากลอง!”
พวกเหวินเทียนซาง เหิงจ้งกู่ หงเสวียนตู เฮ่อหวั่นเจินต่างส่งเสียงตะคอก อานุภาพน่ากริ่งเกรง ทำเอาฟ้าดินสะเทือน บรรยากาศก็ยิ่งเย็นเยียบ
“หมาแก่ฝูงหนึ่งยังกล้ามาเห่าถึงหน้าประตู เบื่อชีวิตจนทนไม่ได้แล้วหรือ”
เสียงหลินสวินลอยมาจากในเขาเทพหลังมังกร ในความเรียบเฉยเจือความน่าเกรงขาม ในความกระจ่างผ่องแผ้วแฝงกลิ่นอายเย็นยะเยือก
ประโยคเดียวด่าว่าระดับอมตะเหล่านั้นเป็นหมาแก่!
“บังอาจ!”
เหวินเทียนซางส่งเสียงหึเย็นชา เขายืนอยู่ตรงนั้น แต่ทั้งร่างกลับมีแสงมรรคอมตะสายแล้วสายเล่าอุบัติขึ้น แปลงเป็นรุ้งเทพมากมาย พลันพุ่งออกไปหมายจะทำลายกระบวนผนึกที่ปกคลุมเหนือเขาเทพหลังมังกรนั้น
ตูม!
รุ้งเทพดุจสายฝนเหนี่ยวนำอานุภาพแกร่งกล้าไว้ อานุภาพแห่งระดับอมตะเผยออกมาทั้งหมดโดยไม่ต้องสงสัย เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นฟ้าดินแห่งนี้ก็เปลี่ยนสี ห้วงอากาศบิดเบี้ยวพังทลาย กลายเป็นหลุมดำปั่นป่วนแหลกกระจุย
เหล่าคนตระกูลลั่วต่างตกตะลึง รู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม
“เจ้าหมาเฒ่า นี่ก็มาฟันเจ้า!”
เสียงตะคอกลั่นเสียงหนึ่งพลันลอยมา สิ่งที่เร็วยิ่งกว่าเสียงคือปราณกระบี่สายหนึ่ง เรียบง่ายแต่กลับกลบฟ้าบังอาทิตย์ เพียงฟันเบาๆ ครั้งเดียว รุ้งเทพมากมายแหลกกระจุยสิ้น สลายหายไปจนหมด!
จากนั้นเงาร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากเขาเทพหลังมังกร เป็นหลินสวินนั่นเอง
เขาสวมชุดขาวพระจันทร์ เหยียบรุ้งเทพมาเยือน ยามกะพริบตาทั้งสองคล้ายมีสายฟ้าเย็นเยียบ เหมือนมองทะลุนัยเร้นลับของเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เห็นดังนี้คนตระกูลลั่วต่างอึ้งไปหมด จิตใจบีบคั้น เกิดอะไรขึ้น
หรือหลินสวินต้องการไปรับศึกเพียงลำพัง
มองดูพวกลั่วเซียวกับลู่ป๋อหยาอีกครั้งก็ดูสงบนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ประหลาดใจที่หลินสวินออกศึกตามลำพัง
แต่เมื่อกลับไปดูพวกระดับอมตะอย่างเหวินเทียนซาง เหิงจ้งกู่ ต่างนัยน์ตาหดรัดลง ล้วนประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นต่างเผยรอยยิ้มเหี้ยม
“เจ้ามารชั่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีความกล้าและรับผิดชอบอยู่บ้าง นี่คือรู้ตัวว่าหนีไม่ได้หลบไม่พ้น จึงคิดจะออกตัวก้มหัวรับโทษประหารหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์