Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 2789

สรุปบท ตอนที่ 2789 หม้อตกมาจากฟ้า: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 2789 หม้อตกมาจากฟ้า จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 2789 หม้อตกมาจากฟ้า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 2789 หม้อตกมาจากฟ้า

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ภายใต้แรงกระตุ้นหยามเหยียดรุนแรง ฉินจิงเทียนลงมืออย่างเดือดดาล ตบฝ่ามือใส่หัวหลินสวิน

แต่เขาลืมไปว่าตอนนี้เขามีมรรควิถีแค่ระดับหกประสานเท่านั้น ไม่ใช่ระดับจอมยุทธ์ด่านสองที่ทำทุกอย่างได้ตามใจเหมือนก่อนหน้านี้อีก

กร๊อบ!

หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ข้อมือที่ฉินจิงเทียนตบออกมากลับถูกซัดละเอียด เลือดสีสดสาดกระเซ็น ความเจ็บปวดสาหัสทำให้เขายอมรับความจริงในที่สุด

“ที่นี่คือแดนเทพต้าฉิน ถ้าเจ้าฆ่าพวกเราก็ไม่มีทางจากไปได้แบบมีชีวิต” ดวงตาฉินจิงเทียนคั่งโลหิต กล่าวเสียงแหบพร่า

“เช่นนั้นก็ส่งเจ้าไปลงนรกก่อน”

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

เงาร่างของฉินจิงเทียนระเบิดดังตูม สลายกลายเป็นธุลี หายไปโดยไร้ร่องรอย

ห่างไปไม่ไกลฉินจิงเหวินกับฉินจิงเลวี่ยหน้าแข็งทื่อราวสูญพ่อสิ้นแม่ ความเคียดแค้นดุจอสรพิษกัดกร่อนจิตใจพวกเขาอย่างหนักหน่วง

ครู่หนึ่งก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เห็นหลินสวินอยู่ในสายตา

หลังจากนั้นพวกเขาเหมือนเทพบนสวรรค์ตกสู่เหวลึก!

หากลงมือเร็วกว่านี้ก้าวหนึ่ง จับตัวอีกฝ่ายทันที มีหรือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงเช่นนี้

ว่ากันตามจริง ก็เป็นพวกเขาที่คิดไม่ถึงว่าบนตัวหลินสวินมีพลังอภินิหารต้องห้ามเย้ยฟ้าเช่นนี้อยู่

เวลาย้อนคืน ตัดมรรควิถี การโจมตีนี้รุนแรงเกินไป รุนแรงถึงขั้นทำให้สภาวะจิตของพวกเขาล้วนมีสัญญาณว่าจะพังทลาย!

“เจ้าอยากช่วยพ่อแม่ของเจ้าหรือ”

ฉินจิงเลวี่ยพลันเงยหน้ามองหลินสวิน

“แน่นอน” หลินสวินกล่าว

“ข้าช่วยเจ้าได้”

ฉินจิงเลวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ข้าถึงขั้นทำให้ตระกูลฉินของข้าลงมือช่วยเจ้าพาพ่อแม่เจ้าออกไปได้ ขอเพียงเจ้าให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเรา”

“อยากอยู่ต่อหรือ”

“แม้แต่มดยังรักชีวิต นับประสาอะไรกับผู้ฝึกปราณอย่างพวกข้า” ฉินจิงเลวี่ยกล่าวราบเรียบ

“เช่นนั้นเจ้าคิดช่วยข้าอย่างไร” หลินสวินถาม

ฉินจิงเลวี่ยพูดโดยไม่ต้องคิด “พ่อแม่ของเจ้าติดอยู่ในแดนผนึกเรืองแสง หลายปีมานี้นอกแดนผนึกเรืองแสงถูกปิดล้อมแน่นหนา ด้วยพลังของเจ้าย่อมไม่มีโอกาสช่วยพ่อแม่เจ้าได้แม้แต่น้อย”

“แดนผนึกเรืองแสง…”

หลินสวินพูดพลางหรี่ตาเล็กน้อย

“แต่หากมีเผ่าข้าคอยช่วย ย่อมสร้างโอกาสให้เจ้าช่วยพ่อแม่เจ้าได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าครอบครองอภินิหารต้องห้ามแห่งกาลเวลาก็ไร้ประโยชน์”

ฉินจิงเลวี่ยกล่าวราบเรียบ

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”

หลินสวินครุ่นคิด

ในใจฉินจิงเลวี่ยสั่นไหว รู้ว่าโอกาสพลิกสถานการณ์อาจมาถึงแล้ว เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งพลางเอ่ย “ขอพูดตรงๆ ขุมอำนาจที่เฝ้าอยู่นอกแดนผนึกเรืองแสง นอกจากตระกูลฉินของข้าแล้ว ยังมีขุมอำนาจของสามเผ่าเทพชั้นยอดอีก”

“มีเผ่าเทพตระกูลอิ๋งจาก ‘ยุคเงาเมฆ’ เผ่าเทพตระกูลเยี่ยนจาก ‘ยุคต้นพิสุทธิ์’ เผ่าเทพตระกูลเหลียงชิวจาก ‘ยุคมรรคราชัน’”

“ในโลกยุคสมัยนับร้อย สามเผ่าเทพนี้จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของแหล่งสถานศุภโชค เป็นเผ่าเทพชั้นยอดที่สมชื่อคู่ควร ในตระกูลมีบุคคลน่ากลัวระดับเทพยุทธ์บัญชาการ”

“เทียบกับพวกเขาแล้ว ตระกูลฉินของพวกเราถือว่าเป็นเผ่าเทพชั้นรอง ทั้งตระกูลฉินของข้ายังมีความแค้นกับพวกเขาด้วย แต่เพราะอานุภาพสู้อีกฝ่ายไม่ได้จึงต้องทำตามคำสั่ง”

หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วเลิกคิ้วกล่าว “พ่อแม่ข้าติดอยู่ในนั้น แต่กลับสะเทือนถึงตระกูลฉินของพวกเจ้ากับสามเผ่าเทพชั้นยอด นี่เป็นเพราะเหตุใด”

ฉินจิงเลวี่ยแววตาซับซ้อนกล่าวว่า “ลั่วทงเทียนตาทวดของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ ยอดสมบัติที่เขานำไปจากแดนเทพต้าฉินเมื่อปีนั้น สำหรับเหล่าเผ่าเทพในแหล่งสถานศุภโชคแล้วสำคัญเพียงใด”

“เป็นเพราะโลงนิรันดร์หรือ”

หลินสวินมุ่นคิ้ว

“ไม่ผิด”

ฉินจิงเลวี่ยพยักหน้า “สมบัตินี้มีความเกี่ยวพันยิ่งใหญ่ ภายในซ่อนนัยเร้นลับสะท้านโลก เล่าลือกันว่าความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของแหล่งสถานศุภโชคซ่อนอยู่ในนั้น ใครได้ครอบครองสมบัตินี้ ย่อมกลายเป็นนายเหนือหัวที่แท้จริงของแหล่งสถานศุภโชค อารยธรรมยุคสมัยนับร้อยล้วนยอมจำนนใต้ฝ่าเท้า!”

หลินสวินเผยสีหน้ากระจ่าง

“แน่นอนว่านี่เป็นแค่คำเล่าลือ ด้วยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโลงนิรันดร์ดุจดั่งตำนาน มีน้อยคนนักที่เห็นโฉมหน้าของมัน ทั้งต่อให้เป็นเผ่าเทพในแหล่งสถานศุภโชคก็ได้แต่คาดเดา สิ่งที่ซ่อนอยู่ในโลงนิรันดร์คือพลังต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา โชคชะตา กฎกรรม”

ฉินจิงเลวี่ยกล่าว “แต่ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าภายในนั้นยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ของแหล่งสถานศุภโชคไว้หรือไม่ ทั้งไม่มีใครกล้ายืนยันว่าหากได้สมบัตินี้แล้วจะเป็นผู้อยู่เหนือแหล่งสถานศุภโชคจริงหรือไม่”

“สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือโลงนิรันดร์ต้องมีอยู่แน่!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาเอ่อล้นด้วยความขมขื่นและผิดหวังสุดซึ้ง “แต่ใครเล่าจะคาดคิด โลงนิรันดร์ที่เหมือนตำนานนี้ถึงกับปรากฏในแดนเทพต้าฉินของข้า!”

สองมือเขากำแน่นขึ้นมา

หลินสวินกล่าวเรียบๆ “แม้ว่าสมบัตินี้ปรากฏในอาณาเขตของพวกเจ้า แต่กลับถูกตาทวดข้าเอาไป นี่ทำให้พวกเจ้าโกรธจนแทบคลั่งถูกหรือไม่”

ฉินจิงเลวี่ยสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด กล่าวว่า “ไม่ผิด ปีนั้นเผ่าข้าเคียดแค้นชิงชังหาใดเปรียบจริงๆ ทั้งยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักด้วยเหตุนี้เช่นกัน”

“ค่าตอบแทนอะไร” หลินสวินกล่าว

ฉินจิงเลวี่ยกล่าวเสียงต่ำ “ไม่นานข่าวเรื่องโลงนิรันดร์ปรากฏขึ้นในแดนเทพต้าฉินก็ปั่นป่วนทั่วแหล่งสถานศุภโชค แต่ละเผ่าเทพทยอยเคลื่อนพลมาแดนเทพต้าฉิน หมายช่วงชิงสมบัตินี้”

“ตอนนี้เจ้าจบชีวิตตัวเองได้แล้ว” หลินสวินตบบ่าของฉินจิงเลวี่ย น้ำเสียงสบายๆ

ฉินจิงเลวี่ยสีหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งสองไร้แวว กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ยามข้าเห็นศัตรูใกล้ตาย บ้างสาปแช่ง บ้างข่มขู่ มักรู้สึกตลอดว่าน่าขันถึงขีดสุด สาปแช่งแล้วได้ผลไหม ข่มขู่แล้วมีประโยชน์หรือไม่ รู้อยู่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์ แต่ทำไมก่อนตายคนมากมายถึงยังทำตัวไม่ได้ความเช่นนั้น”

“ยามนี้เมื่อถึงคราวข้า ข้าดันอยากสาปแช่งให้เจ้าถูกป่นกระดูกสาดเถ้าถ่าน แทบอยากใช้ทุกวิธีมาคุกคามเจ้า…”

“ว่ากันถึงที่สุด ก็เพราะ… ไม่ยินยอม!”

ฉินจิงเลวี่ยถอนใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “หลินสวิน ข้าอยากรู้นักว่ายามเจ้าใกล้ตายจะไม่ได้ความเช่นนี้หรือไม่”

“น่าเสียดาย เจ้าคงไม่ได้เห็นช่วงเวลานั้น” หลินสวินกล่าวราบเรียบ

ฉินจิงเลวี่ยอึ้งไป กล่าวเลื่อนลอย “ไม่เสียดาย ตายไปย่อมดีกว่าถูกตัดมรรควิถี อย่างน้อยก็ไม่ต้องรู้สึกไม่จำยอมและหมดหนทางเช่นนี้อีก…”

เสียงค่อยๆ แผ่วเบาและหายไปช้าๆ

ร่างกายเขาเหมือนก้อนน้ำแข็งละลายหายไปทีละน้อย

ตอนนี้ผู้อาวุโสระดับจอมยุทธ์ด่านสองสามคนของเผ่าเทพต้าฉินล้วนสิ้นชีพอยู่ที่นี่!

หากเรื่องนี้แพร่ออกไปต้องนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหลทั่วแดนเทพต้าฉินแน่

แต่ในเขตหวงห้ามที่เจ็ดนี้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ มีแค่หลินสวินคนเดียวที่รู้เรื่อง

เขาไม่ได้ทอดถอนใจ เริ่มลงมือเก็บกวาดสนามรบ

ผู้อาวุโสสามคนของเผ่าเทพต้าฉินนี้ ฐานะมั่งคั่งถึงขีดสุดจริงๆ แต่น่าเสียดายที่สำหรับหลินสวินแล้วกลับไม่มีของที่พอใช้ประโยชน์ได้เท่าไหร่

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น หลินสวินไม่ได้รีบจากไป

เขานั่งขัดสมาธิ ฟื้นฟูพลังที่ใช้ไปกับการสำแดงอภินิหารหยุดเวลาและดาบกาลเวลาก่อนหน้านี้ พลางจัดการทุกข้อมูลที่รวบรวมมาจากจิตวิญญาณของฉินจิงเลวี่ยในใจ

สุดท้ายหลินสวินก็แน่ใจในเรื่องต่างๆ

แดนผนึกเรืองแสงตั้งอยู่ในส่วนลึกของฟ้าดาราขุ่นมัวแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากแดนเทพต้าฉินไป

เกือบสองร้อยปีก่อน บิดามารดาของตนติดอยู่ในนั้น ตั้งแต่นั้นมากำลังพลของสามเผ่าเทพชั้นยอดและของเผ่าเทพต้าฉินก็ประจำการอยู่นอกแดนผนึกเรืองแสง กลายเป็นแนวปิดล้อมแน่นหนา

จากจุดนี้จึงรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉินจิงเลวี่ยไม่ได้โกหก

นอกจากนี้ยังทำให้หลินสวินรู้ว่าการเคลื่อนไหวที่หมายหัวตนครั้งนี้เผ่าเทพต้าฉินจงใจปิดข่าว ไม่ได้ทำให้สามเผ่าเทพชั้นยอดล่วงรู้

พวกเขาทำเช่นนี้ เป้าหมายสุดท้ายก็เพื่อชิงโลงนิรันดร์กลับมา

หรือพูดได้ว่าทำเพื่อฮุบโลงนิรันดร์ไว้ฝ่ายเดียว!

…………………

[1] แบกหม้อดำ เป็นสำนวนเปรียบ หมายถึงรับผิดแทนผู้อื่น ตกเป็นแพะรับบาป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์