“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีท่าทีตกใจเลย”
หลินสวินมองสำรวจสืออวี่ ไม่เจอกันเพียงสองปีเขามีปราณถึงขั้นผสานฟ้าแล้ว ลมหายใจมั่นคงและโอนอ่อนมากขึ้น ดังคาด ไม่เพียงตัวเขาเองที่พัฒนาในเส้นทางฝึกปราณอยู่ตลอด แม้แต่พวกพ้องในตอนนั้นต่างพากันก้าวกระโดดไปไกล
หลินสวินจำได้ว่าตอนที่สืออวี่บรรลุปราณในทะเลสาบจิตผสานนั้น เขาได้หล่อหลอมพลังวิญญาณระดับหนึ่งที่มีชื่อว่ากระแสธารช้างเผือก ในยามนั้นท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสธารสีเงิน หากคาดการณ์เช่นนี้ การที่สืออวี่จะบรรลุปราณถึงขั้นผสานฟ้าก็ย่อมสมเหตุสมผล
ที่ข้างโต๊ะมีสองร่างอรชรของหญิงสาวผิวขาวดุจหิมะนั่งคุกเข่าปรนนิบัติรินน้ำชา ตระเตรียมผลไม้ให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ชานั้นคือ ‘ดาวตกร่ายแสงทอง’ เป็นชาชั้นดีจากห้องเครื่องในวัง ใบชาสีเขียวอ่อนแช่อยู่ในน้ำแร่วิญญาณ มองดูเพลินตาคล้ายแสงสีทองของดาวตกเปล่งประกายระยิบระยับ รสชาติอ่อนชุ่มคอ กลิ่นหอมละมุนบางเบา
แค่เพียงชาจอกเดียวก็แพงหูฉี่แล้ว เพราะชาชนิดนี้เป็นชาที่ใช้ในห้องเครื่องของราชวัง หาซื้อข้างนอกไม่ได้
ส่วนผลไม้ที่อยู่ข้างๆ นั้นมีผลดาวตกที่เก็บมาจากแดนเหนืออันหนาวเหน็บ มีผลท้อสะท้านวิญญาณจากใต้ภูเขาไฟ กระทั่งมีของหายากที่หลินสวินไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกมากมาย
เห็นได้ว่าชีวิตของสืออวี่ บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีแห่งอัครการค้านั้นอู้ฟู่เพียงใด เพียงแค่ชากับผลไม้ที่ดื่มกินก็ไม่ใช่ของที่คนมีเงินธรรมดาจะซื้อกินได้แล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาเพื่อต้อนรับหลินสวิน หากเป็นคนอื่นสืออวี่ก็ไม่คิดจะนำของเหล่านี้ออกมาแน่นอน
“หลังจากออกมาจากค่ายกระหายเลือด ข้าก็คิดมาตลอดว่าหากเจอกันอีกครั้งเจ้ากับเจ้างั่งหนิงเหมิงจะมีปราณถึงขั้นใด”
สืออวี่จิบชาพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าหายห่วงแล้ว อย่างน้อยปราณของเจ้าก็ยังต่ำกว่าข้าเหมือนตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด ส่วนเจ้างั่งหนิงเหมิงนั่นก็คงตามข้าไม่ทันหรอก”
หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าว “ระดับปราณสูงต่ำไม่สำคัญหรอก หากวัดด้วยพลังต่อสู้เจ้าคิดว่าจะชนะได้อย่างนั้นหรือ”
สืออวี่หัวเราะร่า “จะบอกเจ้าให้ว่าสองปีนี้ข้าฝึกยุทธ์อยู่เสมอ หากเจ้าคิดจะใช้พลังต่อสู้มาข่มข้าเหมือนตอนค่ายกระหายเลือดล่ะก็ เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว”
หลินสวินเลิกคิ้ว “อ้อ ลองดูสักตั้งเป็นอย่างไร”
สืออวี่ชะงัก “ตอนนี้เลยน่ะหรือ”
“ใช่” หลินสวินตอบ
สืออวี่จ้องหลินสวินนิ่งอยู่สองนานก่อนส่ายหน้า “ไม่ได้ มีที่ไหนจะต่อสู้กันยามพบหน้า ข้าไม่ใช่เจ้างั่งหนิงเหมิงเสียหน่อย มาๆ ดื่มชาๆ อย่ามัวพูดเรื่องเสียบรรยากาศอยู่เลย”
หลินสวินไม่วายหลุดยิ้ม ไม่ดึงดันต่อ สืออวี่ก็เป็นเสียแบบนี้ ฉลาดเฉลียวระวังตัว ไม่ยอมแสดงฝีมือง่ายๆ เหมือนกับแนวการต่อสู้ของเขาที่หากไม่สู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากได้ลงมือย่อมถึงตายนั่นเอง
“ว่ามาสิ เหตุใดถึงได้ใช้ป้ายประจำตัวของพี่ใหญ่มาหาข้าได้” สืออวี่ถามด้วยสงสัย
หลินสวินเล่าเรื่องที่เขาได้รู้จักกับสือซวน
สายตาของสืออวี่เต็มไปด้วยความแปลกใจ “แม้ข้าจะไม่ชอบพี่ใหญ่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามองคนได้แม่นยำเสมอ”
หลินสวินยิ้ม “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
สืออวี่โบกมือใส่ “ไม่เอ่ยถึงเขาดีกว่า เราไม่ได้เจอกันได้ง่ายๆ ต้องดื่มให้จุใจถึงจะถูกต้อง ชิงเสวี่ย เหลียนเยวี่ย พวกเจ้าไปเตรียมสุรากับสำรับ เอาสุราเลือดมังกรที่ข้าเก็บไว้มาด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ” สองสาวงามยิ้มเล็กน้อยก่อนออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย
หลินสวินส่ายหัวว่า “ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีธุระ สุรามื้อนี้ค่อยดื่มวันหลังเถอะ”
สืออวี่ชะงัก “ด่วนมากหรือ”
หลินสวินพยักหน้า
คุณชายสืออวี่ตบมือกับโต๊ะ “เช่นนั้นก็จัดการธุระก่อน”
เขารู้จักนิสัยของหลินสวินดี รู้ว่าปกติแล้วอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของตัวเอง ที่หลินสวินทำเช่นนี้ย่อมเพราะมีเรื่องลำบากแน่นอน
“ข้าอยากขายของจำนวนหนึ่งให้เจ้า” หลินสวินบอกเป้าหมายของตัวเองทันที “ของพวกนี้พิเศษอยู่บ้าง เป็นทรัพย์หลังศึกของข้า หากขายให้คนอื่น หนึ่งคือเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้ารับ สองคือข้าไม่อยากให้คนอื่นได้อะไรง่ายๆ”
สืออวี่ให้ความสนใจ “ของอะไรหรือ จำนวนมากหรือไม่”
หลินสวินกวาดตามองรอบๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบแหวนเก็บของก่อนสะบัดมือเบาๆ
เสียงเคร้งคร้างดังขึ้นเมื่ออาวุธวิญญาณ อุปกรณ์ป้องกันและหน้าไม้หลากหลายชนิดปรากฏกองกันเป็นภูเขาจนกินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องโถง แสงวิญญาณสว่างไสวคล้ายที่ตรงนั้นเป็นภูเขาแห่งสมบัติ
สืออวี่ตะลึง กระเด้งตัวลุกขึ้นเดินไปสำรวจพลางถามอย่างแปลกใจ “หลินสวิน เจ้าปล้นกองทัพมาหรือ”
หลินสวินตอบไม่ยี่หระ “ประมาณนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์