หลินสวินเดินกลับเพียงลำพังตามทางที่เขาได้เดินมา
จักรพรรดินีเรียกให้หลินสวินเข้าเฝ้าครานี้ ไม่ได้ลงโทษหรือตกรางวัลให้แต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยถึงชื่อของท่านลู่ นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า ท่านลู่ไม่ใช่แค่นักสลักวิญญาณที่เร้นกายจากโลกธรรมดาๆ อย่างที่คิดเป็นแน่
ในทางกลับกัน จักรพรรดิเคยทุ่มทุนอย่างมหาศาล เพื่อให้คุณลู่ยอมสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ถวายจักรพรรดินี!
‘ไม่ธรรมดา แม้แต่จักรพรรดินียังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของท่านลู่ แล้วเหตุใดตอนนั้นเขา…จึงต้องเร้นกายอยู่ในคุกใต้เหมือง’
หลิวสวินเดินพลางคิดไตร่ตรอง
“เจ้าหนู ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดึงหลินสวินให้ตื่นจากห้วงความคิด
พอหันไปมองก็เห็นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนในชุดหรูหรางดงามเดินเข้ามาหาตนอย่างเร่งรีบ
“ผู้อาวุโส ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
หลินสวินประหลาดใจ ชายอ้วนวัยกลางคนผู้นี้คือเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล
ตอนนั้นหลังจากประลองกับฮวาอู๋โยว จู่ๆ กระบี่โบราณเหมยคดก็ปรากฏขึ้น ขัดขวางการปะทะกันระหว่างฮวาชิงหลินและจูเหล่าซาน
ตอนนั้นจ้าวไท่ไหลเองก็อยู่ในเหตุการณ์
และหลินสวินก็ตงิดใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า จ้าวไท่ไหลต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ในพระราชวังท่านนั้น แต่เสียดายที่ไม่ได้คำตอบยืนยันจากอีกฝ่าย
“ดูพูดเข้า ข้าก็มารอเจ้าหนูอย่างเจ้าน่ะสิ!”
จ้าวไท่ไหลพูดอย่างหัวเสีย
“รอข้าหรือ”
หลินสวินยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่
จ้าวไท่ไหลกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนู เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
พูดจบเขาก็เดินนำทาง พาหลินสวินเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนมาถึงสวนอันเงียบสงบห่างไกลผู้คน ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าครานี้เพราะได้รับการไหว้วานมา มีบางเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”
หลินสวินหรี่ตาลง “ใช่คนใหญ่คนโตท่านนั้นที่เคยใช้กระบี่โบราณเหมยคดช่วยข้าไว้หรือไม่”
จ้าวไท่ไหลโบกมือพลางกล่าว “เจ้าไม่ต้องเดามากมายหรอก ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เจ้าเพียงต้องรู้เอาไว้ว่า เจ้ามีเวลามากสุดห้าปี”
“อะไรนะ”
หลินสวินหัวใจสะท้าน
“ทำไม เจ้ายังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้อีกหรือ”
จ้าวไท่ไหลมุ่นคิ้ว “เจ้าคงรู้ว่าเหตุนองเลือดที่ภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเป็นฝีมือของใครใช่หรือไม่”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาดำขลับพลันสาดประกายเย็นเยียบ “อวิ๋นชิ่งไป๋?”
สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้ารู้จักเขา ก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าเขารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”
หลินสวินเงียบไปทันที
เขาเคยคิดเรื่องนี้มาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง มิเช่นนั้นตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาคงไม่ต้องพยายามฝึกพลังปราณและพัฒนาอำนาจของภูเขาชำระจิตอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้
ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนองเลือดเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนขึ้นซ้ำสอง!
“อวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยๆ ถ้าเขาย้อนกลับมาที่จักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่มีใครสามารถหยุดไม่ให้เขาก่อเหตุได้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ราชินีแห่งตำหนักแสงทมิฬผู้นั้นก็ไม่ได้ แม้แต่ราชครูที่อยู่บนหอดูดาวหลวงก็ยังไม่ได้ สรุปก็คือ เจ้าจำต้องรู้ไว้ว่า ด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยังอ่อนแอนัก”
จ้าวไท่ไหลพูดรัวเร็ว ประเด็นที่พูดกลับรุนแรง ทำให้หลินสวินพลันรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก
“แน่นอน” จ้าวไท่ไหลเปลี่ยนเรื่องทันควัน “ตอนนี้ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากแล้ว อย่างน้อยๆ ตอนนี้ในนครต้องห้ามก็มีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้า แต่เท่านี้ก็ยังไม่พออยู่ดี”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว ฟังต่ออย่างตั้งใจ
“บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้เจ้าก่อเรื่องได้ตามสบาย ยิ่งสร้างความฮือฮาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะที่สำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องจนเหล่าหัวหน้าสาขาต่างเริ่มหันมาสนใจเจ้าด้วยจะดีที่สุด แบบนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์ของเจ้า”
สิ่งที่จ้าวไท่ไหลพูด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการส่งสารต่อจากคนอื่น เพราะด้วยฐานะของเขา ย่อมไม่กล้าส่งเสริมให้หลินสวินไปก่อเรื่องในสำนักศึกษามฤคมรกตอย่างเปิดเผยแบบนี้แน่
ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นความต้องการของผู้ยิ่งใหญ่ในราชวังคนนั้นเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้หลินสวินพลันอดฉงนใจไม่ได้ ทีแรกเขาคิดว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นคือจักรพรรดินี
แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่!
ท่าทีของจักรพรรดินีที่มีต่อเขาเมื่อครู่ แม้กล่าวไม่ได้ว่าแย่ แต่ก็ไม่ถือว่าดีมากนัก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งจ้าวไท่ไหลมาคุยเรื่องพวกนี้
เช่นนั้นผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นใครกันแน่
“ตอนนี้ข้าก่อเรื่องใหญ่พอแล้วกระมัง เมื่อครู่นี้ยิ่งบีบให้หลิงเทียนโหวนั่นต้องคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์ไปแล้ว ขืนก่อเรื่องต่อไป ข้าต้องกลายเป็นที่ชิงชังของทุกคนแน่”
หลินสวินยิ้มขื่น
“เหอะๆ เจ้ากลัวเป็นด้วยรึ”
จ้าวไท่ไหลเย้ยหยัน
“ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสลองบอกมาหน่อยว่า ถ้าก่อเรื่องต่อไปข้าจะได้ประโยชน์อย่างไร”
หลินสวินฉวยโอกาส ยิ้มตาหยีถาม
“ข้าบอกได้เพียงว่า จักรพรรดิไม่มีทางนั่งเฉยๆ มองดูยอดฝีมือตัวจริงเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยไม่สนใจแน่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามีกำลังและความสามารถที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากจักรพรรดิ สำหรับจักรพรรดิแล้ว เจ้ายิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่าเท่านั้น หากวันหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน จักรพรรดิจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้เจ้าไว้แน่!”
คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหลฟังดูเรียบง่ายและหยาบกระด้าง แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่
“เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร”
หลินสวินครุ่นคิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์