Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 432

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 432 วิกฤตมาเยือน
ตอนที่ 432 วิกฤตมาเยือน
โดย
ProjectZyphon
พระราชวังตั้งตระหง่านอย่างเป็นสง่าน่าเกรงขาม เสมือนนักรบอมตะที่กาลเวลามิอาจทำอะไรเขาได้

หลินสวินเดินกลับเพียงลำพังตามทางที่เขาได้เดินมา

จักรพรรดินีเรียกให้หลินสวินเข้าเฝ้าครานี้ ไม่ได้ลงโทษหรือตกรางวัลให้แต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยถึงชื่อของท่านลู่ นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า ท่านลู่ไม่ใช่แค่นักสลักวิญญาณที่เร้นกายจากโลกธรรมดาๆ อย่างที่คิดเป็นแน่

ในทางกลับกัน จักรพรรดิเคยทุ่มทุนอย่างมหาศาล เพื่อให้คุณลู่ยอมสร้างชุดศึกสลักวิญญาณ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ ถวายจักรพรรดินี!

‘ไม่ธรรมดา แม้แต่จักรพรรดินียังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของท่านลู่ แล้วเหตุใดตอนนั้นเขา…จึงต้องเร้นกายอยู่ในคุกใต้เหมือง’

หลิวสวินเดินพลางคิดไตร่ตรอง

“เจ้าหนู ช้าก่อน!”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดึงหลินสวินให้ตื่นจากห้วงความคิด

พอหันไปมองก็เห็นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนในชุดหรูหรางดงามเดินเข้ามาหาตนอย่างเร่งรีบ

“ผู้อาวุโส ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

หลินสวินประหลาดใจ ชายอ้วนวัยกลางคนผู้นี้คือเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล

ตอนนั้นหลังจากประลองกับฮวาอู๋โยว จู่ๆ กระบี่โบราณเหมยคดก็ปรากฏขึ้น ขัดขวางการปะทะกันระหว่างฮวาชิงหลินและจูเหล่าซาน

ตอนนั้นจ้าวไท่ไหลเองก็อยู่ในเหตุการณ์

และหลินสวินก็ตงิดใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า จ้าวไท่ไหลต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ในพระราชวังท่านนั้น แต่เสียดายที่ไม่ได้คำตอบยืนยันจากอีกฝ่าย

“ดูพูดเข้า ข้าก็มารอเจ้าหนูอย่างเจ้าน่ะสิ!”

จ้าวไท่ไหลพูดอย่างหัวเสีย

“รอข้าหรือ”

หลินสวินยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่

จ้าวไท่ไหลกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนู เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”

พูดจบเขาก็เดินนำทาง พาหลินสวินเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนมาถึงสวนอันเงียบสงบห่างไกลผู้คน ค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้ามาหาเจ้าครานี้เพราะได้รับการไหว้วานมา มีบางเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”

หลินสวินหรี่ตาลง “ใช่คนใหญ่คนโตท่านนั้นที่เคยใช้กระบี่โบราณเหมยคดช่วยข้าไว้หรือไม่”

จ้าวไท่ไหลโบกมือพลางกล่าว “เจ้าไม่ต้องเดามากมายหรอก ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เจ้าเพียงต้องรู้เอาไว้ว่า เจ้ามีเวลามากสุดห้าปี”

“อะไรนะ”

หลินสวินหัวใจสะท้าน

“ทำไม เจ้ายังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้อีกหรือ”

จ้าวไท่ไหลมุ่นคิ้ว “เจ้าคงรู้ว่าเหตุนองเลือดที่ภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเป็นฝีมือของใครใช่หรือไม่”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาดำขลับพลันสาดประกายเย็นเยียบ “อวิ๋นชิ่งไป๋?”

สีหน้าของจ้าวไท่ไหลเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้ารู้จักเขา ก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าเขารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”

หลินสวินเงียบไปทันที

เขาเคยคิดเรื่องนี้มาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง มิเช่นนั้นตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาคงไม่ต้องพยายามฝึกพลังปราณและพัฒนาอำนาจของภูเขาชำระจิตอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้

ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนองเลือดเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนขึ้นซ้ำสอง!

“อวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยๆ ถ้าเขาย้อนกลับมาที่จักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่มีใครสามารถหยุดไม่ให้เขาก่อเหตุได้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ราชินีแห่งตำหนักแสงทมิฬผู้นั้นก็ไม่ได้ แม้แต่ราชครูที่อยู่บนหอดูดาวหลวงก็ยังไม่ได้ สรุปก็คือ เจ้าจำต้องรู้ไว้ว่า ด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยังอ่อนแอนัก”

จ้าวไท่ไหลพูดรัวเร็ว ประเด็นที่พูดกลับรุนแรง ทำให้หลินสวินพลันรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก

“แน่นอน” จ้าวไท่ไหลเปลี่ยนเรื่องทันควัน “ตอนนี้ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากแล้ว อย่างน้อยๆ ตอนนี้ในนครต้องห้ามก็มีน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้า แต่เท่านี้ก็ยังไม่พออยู่ดี”

หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว ฟังต่ออย่างตั้งใจ

“บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้เจ้าก่อเรื่องได้ตามสบาย ยิ่งสร้างความฮือฮาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะที่สำนักศึกษามฤคมรกต ก่อเรื่องจนเหล่าหัวหน้าสาขาต่างเริ่มหันมาสนใจเจ้าด้วยจะดีที่สุด แบบนั้นมีแต่จะเป็นผลดีต่อสถานการณ์ของเจ้า”

สิ่งที่จ้าวไท่ไหลพูด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการส่งสารต่อจากคนอื่น เพราะด้วยฐานะของเขา ย่อมไม่กล้าส่งเสริมให้หลินสวินไปก่อเรื่องในสำนักศึกษามฤคมรกตอย่างเปิดเผยแบบนี้แน่

ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นความต้องการของผู้ยิ่งใหญ่ในราชวังคนนั้นเป็นแน่

คิดถึงตรงนี้หลินสวินพลันอดฉงนใจไม่ได้ ทีแรกเขาคิดว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นคือจักรพรรดินี

แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่!

ท่าทีของจักรพรรดินีที่มีต่อเขาเมื่อครู่ แม้กล่าวไม่ได้ว่าแย่ แต่ก็ไม่ถือว่าดีมากนัก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งจ้าวไท่ไหลมาคุยเรื่องพวกนี้

เช่นนั้นผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นใครกันแน่

“ตอนนี้ข้าก่อเรื่องใหญ่พอแล้วกระมัง เมื่อครู่นี้ยิ่งบีบให้หลิงเทียนโหวนั่นต้องคุกเข่า ล่วงเกินราชวงศ์ไปแล้ว ขืนก่อเรื่องต่อไป ข้าต้องกลายเป็นที่ชิงชังของทุกคนแน่”

หลินสวินยิ้มขื่น

“เหอะๆ เจ้ากลัวเป็นด้วยรึ”

จ้าวไท่ไหลเย้ยหยัน

“ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสลองบอกมาหน่อยว่า ถ้าก่อเรื่องต่อไปข้าจะได้ประโยชน์อย่างไร”

หลินสวินฉวยโอกาส ยิ้มตาหยีถาม

“ข้าบอกได้เพียงว่า จักรพรรดิไม่มีทางนั่งเฉยๆ มองดูยอดฝีมือตัวจริงเผชิญปัญหาเพียงลำพังโดยไม่สนใจแน่ แต่ทั้งหมดนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามีกำลังและความสามารถที่ควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากจักรพรรดิ สำหรับจักรพรรดิแล้ว เจ้ายิ่งเก่งกาจเท่าไหร่ก็ยิ่งมีค่าเท่านั้น หากวันหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน จักรพรรดิจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ให้เจ้าไว้แน่!”

คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหลฟังดูเรียบง่ายและหยาบกระด้าง แม้แต่คนโง่ก็ยังเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่

“เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร”

หลินสวินครุ่นคิด

“นั่นมันเรื่องของเจ้าแล้วล่ะ”

จ้าวไท่ไหลพูดจบก็ถอนหายใจเฮือก ราวกับในที่สุดก็ทำภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิตสำเร็จเสียที

“เช่นนั้น…”

หลินสวินพูดยังไม่ทันจบ จ้าวไท่ไหลก็รู้ทันเสียก่อน รีบพูดตัดบทว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง”

หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในใจลอบด่าว่าเจ้าอ้วนนี่ช่างหัวหมอจริง

“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? อย่างมากภายในห้าปีนี้ เจ้ามิต้องกังวลว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะกลับมาฆ่า ซึ่งก็หมายความว่า เหลือเวลาที่ให้เจ้าได้เสเพลอย่างมากอีกแค่ห้าปีแล้ว”

จ้าวไท่ไหลตบบ่าหลินสวินเบาๆ “เจ้าหนู คว้าโอกาสเอาไว้ให้ดีเถอะ หากภายในห้าปีนี้เจ้าสามารถแสดงความสามารถที่สร้างความตะลึงไปทั่วหล้าได้ เชื่อว่าสถานการณ์ของเจ้าจะต้องเปลี่ยนไป”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ลังเลราวเท้าทาน้ำมันไว้ ไม่นานก็หายไปไม่เห็นร่องรอย

ราวกับว่าถ้าพูดกับหลินสวินมากกว่านี้อีกประโยค ก็จะสร้างปัญหาอย่างหนักหน่วงให้กับเขา

“ห้าปี…”

หลินสวินยืนคิดอยู่ที่เดิม

สักพักใหญ่ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้น สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่แสนไกล บนใบหน้าสุภาพหล่อเหลาถูกความสงบแน่วแน่เข้ามาแทนที่

ดูเหมือนนานมาก แต่ก็สั้นมาก

แต่หลินสวินเข้าใจดีว่า บางเรื่องไม่ว่าช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องทำออกมา แทนที่จะยื้อออกไป ไม่สู้ทำให้เต็มที่ไปเลย!

……

ตอนที่หลินสวินออกไปจากพระราชวัง กลับไปยังภูเขาชำระจิตก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

เขาไม่รู้ว่างานประลองที่เกิดขึ้นในลานแสดงยุทธ์นั้น มีการประลองที่ยอดเยี่ยมเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง

และไม่รู้ว่าเกิดความฮือฮาอะไรขึ้นอีกในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี

เขารู้เพียงว่า เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว

“ลุงจง ช่วยไปขอลาที่สำนักศึกษามฤคมรกตให้ข้าที บอกว่าข้าต้องการเก็บตัวฝึกสักระยะ”

พอถึงภูเขาชำระจิตหลินสวินก็สั่งหลินจงทันที

ทุกคนในภูเขาชำระจิตต่างมีปฏิกิริยาอย่างกระตือรือร้นกับการกลับมาของหลินสวิน หลินจงเองก็เช่นกัน

แต่ท่าทีของหลินสวินกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ ทันทีที่เขากลับมาถึง พอสั่งการเรื่องต่างๆ เสร็จก็รีบเข้าไปเก็บตัวในห้องฝึกสงบใจบนชั้นสามของตำหนักชำระจิตทันที

การกระทำของเขาทำให้หลายคนงงเป็นไก่ตาแตก

แต่สำหรับพญาแร้ง เสี่ยวเคอและหลินจงกลับรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่า ต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นกับหลินสวินแน่!

ที่ผ่านมาแม้จะเจอปัญหายากเย็นแค่ไหน หลินสวินก็ไม่เคยดูผิดปกติเหมือนวันนี้เลย

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

……

และในคืนนั้นเอง ข่าวเกี่ยวกับงานฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินีก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งนครต้องห้ามราวกับติดปีก และสร้างความฮือฮาอย่างหนัก!

“หลินสวินคนนี้ใช้แค่ปิ่นหยกเพียงอันเดียว ก็สามารถได้รับรางวัลจากจักรพรรดินี โชคดีเกินไปแล้ว!”

“ใช่ หนำซ้ำเขายังเป็นคนเดียวที่ได้ ช่างน่าอิจฉายิ่ง”

หลายคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกว่าหลินสวินจะโชคดีเกินไปแล้ว เพียงถวายปิ่นหยกให้จักรพรรดินีก็ได้รับรางวัลตอบกลับแล้ว เกินคาดจริงๆ

……

“อะไรนะ แม้แต่ฉือฉางเฟิงยังแพ้งั้นหรือ หลินสวินเป็นแค่นักสลักวิญญาณไม่ใช่หรือ เหตุใดแม้แต่พลังการต่อสู้ยังเก่งกาจเพียงนี้”

“ไม่เพียงฉือฉางเฟิง แม้แต่หลิงเทียนโหวยังแพ้! หนำซ้ำยังถูกหลินสวินบังคับให้คุกเข่าขอโทษ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเกิดเสียงฮือฮาแค่ไหน แม้แต่เหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ในราชวงศ์ออกหน้า ยังห้ามหลินสวินไม่ได้!”

“ให้ตาย เจ้าหลินสวินคนนี้ดุดันจริงๆ!”

“ดุดันอะไรกัน ข้าว่าเขาน่ะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากกว่า ทำแบบนี้แม้ว่าเขาจะได้หน้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการล่วงเกินราชวงศ์ด้วย!”

“เฮ้ยๆ ไม่ว่าพูดอย่างไร นิสัยของหลิงเทียนโหวโหดเหี้ยมร้ายการขนาดไหนทุกคนที่อยู่ในนครต้องห้ามสมัยนั้นไม่มีใครไม่รู้ หลินสวินกลับกล้าบีบบังคับให้เขาคุกเข่าขอโทษ เพียงแค่เรื่องนี้ ในบรรดาผู้กล้ารุ่นใหม่ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้แล้ว!”

“ข้าเห็นด้วย”

และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตะลึงกับสิ่งที่หลินสวินทำในงานฉลองพระชนมพรรษา ซึ่งมีทั้งคนที่ชื่นชมและคนที่สนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น

……

“ลำนำผู้กล้าเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหลินสวินงั้นหรือ สวรรค์ นี่ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!”

“คงไม่ใช่เพราะ…คุณหนูชิงเยียนชอบเจ้าหลินสวินคนนี้เข้าแล้วจริงๆ ใช่ไหม หากเป็นเช่นนี้จริงใจข้าคงสลาย!”

และมีคนพูดถึงลำนำผู้กล้าของหลิ่วชิงเยียน ซึ่งก็ต้องพูดถึงหลินสวินอีกครั้งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

……

ค่ำคืนนี้ชื่อของหลินสวินได้แพร่ออกจากทุกพื้นที่ ทุกตระกูลทรงอิทธิพลและจากปากของผู้ฝึกปราณทุกคนในนครต้องห้าม

เรียกได้ว่าผู้ที่ได้รับความสนใจที่สุดในงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีในครั้งนี้คือหลินสวิน!

เขาใช้ปิ่นหยกเพียงอันเดียวก็ได้รับรางวัลจากจักรพรรดินี

เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ที่มีชื่อเสียงอย่างหลิ่วชิงเยียนได้แต่ง ‘ลำนำผู้กล้า’ ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก

บนลานแสดงยุทธ์ที่รวบรวมผู้กล้าเอาไว้ เด็กหนุ่มผู้กล้าอย่างฉือฉางเฟิงที่มีเส้นปราณโลหิตดอกบัวม่วงกลางทะเลทองกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาด้วยความแค้นใจ หลิงเทียนโหวผู้เหี้ยมโหดยโสโอหังก็พ่ายแพ้ให้กับเขาจนต้องคุกเข่าขอโทษ…

แต่ละเรื่องราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงในนครต้องห้ามจนสร้างความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สร้างความไหวหวั่นให้กับผู้ฝึกปราณทุกคน!

ก่อนเริ่มงานฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี ใครเล่าจะคาดคิดถึงเรื่องพวกนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์