สีหน้าของอาปี้ซีดลงทันใด ค่ายกลขนาดใหญ่ปิดผนึกพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้ ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งมหาเวทเก้าคนนั่งบัญชาการอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีกองกำลังชั้นยอดเผ่าพ่อมดเถื่อนเป็นร้อยเป็นพันกระจายกำลังควบคุมอยู่ นี่มัน…
เท่ากับทางตันอย่างไม่ต้องสงสัย!
อาศัยเพียงกำลังของพวกเขา เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่จะพลิกสถานการณ์
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ภายในของอาปี้จมดิ่งสู่ก้นบึ้ง ไยถึงเป็นเช่นนี้ไปได้…
“นี่ไม่ใช่กับดัก น่าจะเพราะที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ชักนำผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนจำนวนมากให้มุ่งหน้ามา พวกเราก็แค่มาได้จังหวะพอดีเท่านั้น”
หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ
“อย่างนั้นหรือ…”
อาปี้นิ่งงัน คราวนี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ เจ้าหน้ามนที่อยู่ข้างกายก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง สุขุมเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม
ความเยือกเย็นประเภทนี้ ไม่มีทางเสแสร้งแกล้งทำออกมาได้แม้แต่น้อย
‘เขา… ไม่กังวลใจเลยหรือ’
อาปี้รู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
แต่ไม่รอให้เขาตอบสนอง ในลานพลันมีเสียงเย็นเยียบและน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น “แค่กองกำลังผู้ฝึกปราณอิสระของจักรวรรดิเผ่ามนุษย์ขบวนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าริอ่านแตะต้องหุบเขาพยัคฆ์ ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ”
ผู้ที่เอ่ยคำคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ทั่วสรรพางค์กายของเขาอาบชุ่มด้วยสายฟ้าสีเลือด บนเรือนผมมีประจุไฟฟ้าสีแดงฉานปานโลหิตไหลพัน นัยน์ตาเปล่งประกาย ราวกับดวงอาทิตย์เลือดคู่หนึ่ง
กลางฝ่ามือเขากำเคียวสีเลือดขนาดมหึมาด้ามหนึ่ง คมเคียวราวกับจันทร์เสี้ยว ทว่ากลับแดงสดดุจโลหิต งามประหลาดและน่าขยาดกลัว
“ผู้แข็งแกร่งมหาเวทสายคนเถื่อนอสนี…เสอเจิ้น!”
สีหน้าหลิ่วเหวินเปลี่ยนไปอย่างมาก ร้องอุทานเสียงหลง
เสอเจิ้น บุคคลร้ายกาจที่มีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดในสมรภูมิกระหายเลือด มีฉายาว่า ‘เคียวโลหิตฟ้าคำราม’ มาจากสายคนเถื่อนอสนี ครอบครองพลังระดับแห่งมหาเวท
หลายปีมานี้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือของเสอเจิ้น อย่างน้อยก็มีถึงหลายพันคน!
ใน ‘กระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท’ ที่ออกโดยค่ายทหารของจักรวรรดิ ชื่อของเสอเจิ้นก็อยู่ในนั้นด้วย ทั้งยังสูงถึงอันดับที่เจ็ดสิบสอง!
นี่ย่อมเป็นมหาพิบัติคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในลานไม่ได้มีแค่เสอเจิ้น ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นอีกแปดคน
ลำพังแค่กระบวนทัพเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนสิ้นหวังแล้ว
ไม่เพียงหลิ่วเหวิน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนอื่นๆ ต่างก็มือไม้เย็นเฉียบ ต่อให้ประสบการณ์สู้รบของพวกเขามากมายเพียงใด ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ ก็ไม่สามารถนำพาความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่พวกเขาได้
“เฮอะๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในกองกำลังกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ยังมีคนรู้จักข้าด้วย”
เสอเจิ้นแสร้งหัวเราะ ทั่วร่างเขามีสายฟ้าสีเลือดไหลพุ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงที่คาวเลือดกดข่มผู้คน น่าพรั่นพรึงถึงที่สุด
แม้จะเป็นหูทง ภายในใจก็อดถอนหายใจไม่ได้ รู้ว่าครั้นนี้หากคิดจะพลิกสถานการณ์ ความหวังนั้นแสนริบหรี่เต็มที
“เจ้าหมอนี่มีชื่อเสียงมากหรือ”
ไกลออกไป หลินสวินถามด้วยความประหลาดใจ
อาปี้จนคำพูดไปชั่วขณะ ภายในใจของนางร้อนรนกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ไหนเลยจะเคยคิด ว่าจนป่านนี้แล้วคุณชายหลินผู้นี้ยังให้ความสนใจกับเรื่องพรรค์อยู่อีก
อาปี้กล่าวอย่างรวดเร็ว “หมอนี่คือพวกโหดเหี้ยมที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกในกระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท แค่มีชื่อเสียงเสียที่ไหน เป็นคนโด่งดังที่ขึ้นชื่อด้านความชั่วร้ายเลยชัดๆ! เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก เจ้าคิดก่อนดีกว่าว่าจะรอดชีวิตอย่างไร!”
“พูดแบบนี้ ถ้าฆ่าเขาก็จะได้รับรางวัลเป็นกอบเป็นกำเลยใช่หรือไม่” หลินสวินคล้ายขบคิด
“ฆ่าเขา?”
อาปี้แทบเป็นบ้า อดไม่ไหวอยากแงะกบาลเจ้าหน้ามนออกมาดูว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่มันเวลาใดแล้ว เขายังพูดล้อเล่นพรรค์นี้อยู่ได้!
ไม่รู้ย่อมไม่กลัว หมายถึงคนประเภทนี้กระมัง
“ได้ ไหนๆ ก็ใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเอง รางวัลค่าหัวของเสอเจิ้นคนนั้นคือเหรียญกล้าหาญชั้นรองสิบเก้าอัน รวมถึงผลึกวิญญาณชั้นสูงแปดพันชิ้น อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งชุด โอสถวิญญาณรักษาบาดแผลชนิดพิเศษสิบขวด!”
อาปี้กัดฟัน เจือท่าทางประหนึ่งไม่สนอะไรอีกแล้ว กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งตั้งเท่าไรหมายจะฆ่าชายคนนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว รางวัลค่าหัวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครยังจะกล้าฝันถึงอีก”
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งคราแล้วไม่เอ่ยวาจาอีก
คำว่า ‘อ้อ’ คำเดียวดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อาปี้มีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ประการหนึ่ง เจ้าหมอนี่… ไม่หวาดกลัวเลยสักนิดจริงๆ หรือ
เพียงแต่ตอนที่นางกำลังจะพูด ในหุบเขาพยัคฆ์บริเวณที่ห่างออกไป ก็ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวดังกึกก้องปานฟ้าคำราม…
“พูดพล่ามมากมายขนาดนั้นทำไมกัน ฆ่าพวกแมลงวันนี่ก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย!”
นั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนอัคคีผู้หนึ่ง ทั่วกายรายล้อมด้วยเปลวเพลิงที่พุ่งทะยานสู่ฟ้า หยาบโลนและหยิ่งผยอง ดุจดั่งมารปีศาจที่ถือกำเนิดจากเปลวเพลิงตนหนึ่ง
เขานามว่าเหยียนชื่อเหิง เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
“สู้กับพวกมัน!”
หูทงคำราม รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์สิ้นหวัง ก็ยังขอสู้จนตัวตาย!
“เฮอะ ก็แค่ไม้ซีกงัดไม้ซุงเท่านั้น!”
เหยียนชื่อเหิงแค่นเสียงเย็นชา เงาร่างกลายเป็นทะเลเพลิงผืนหนึ่งในบัดดล พุ่งปกคลุมไปทางหูทง
“ฆ่า!”
แม้ตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว เวลานี้แต่ละคนต่างดุดัน หมายต่อสู้สุดแรงเกิด ยอมตายดีกว่าก้มหัวให้
ตูม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นในเวลานี้ เหยียนชื่อเหิงและหูทงเข้าโรมรันเข่นฆ่ากัน
ส่วนหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ ล้วนถูกเสอเจิ้นเพียงคนเดียวขวางเอาไว้!
ใช่แล้ว เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ควงเคียวสีเลือดขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง ความกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมา ก็สามารถกำราบพวกหลิ่วเหวินได้อย่างสมบูรณ์
เพียงแต่เขากลับไม่ได้รีบร้อนลงมือ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “คุกเข่าแทบเท้าข้า ข้าจะเว้นโทษตายแก่พวกเจ้า มอบการปฏิบัติเยี่ยงเชลยศึกให้”
บัดนั้นหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ โกรธจนหน้าแดงเถือก เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน ความอัปยศอดสูทว่าเรียบง่ายเช่นนี้ กลับมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เดิมทีหลินสวินยังคิดจะดูเสียหน่อยว่าเจ้าพวกนี้จะตอบสนองอย่างไร
เขาหาใช่เลือดเย็น หากแต่ตลอดทางถูกคนพวกนี้เหยียดหยามและเสียดสีหลายต่อหลายครั้ง จึงอยากยืมโอกาสครั้งนี้มาดูเสียหน่อยว่า เมื่อประสบความอัปยศอดสู เจ้าพวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร
ใครจะไปคิดว่าเวลานี้อาปี้กลับเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว
นางกัดฟันกรอด ด่าทอออกไป “เศษสวะชาติหมา กดขี่ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” จากนั้นก็กระชับค้อนยักษ์ด้ามนั้น เงาร่างไหววูบ พุ่งไปทางเสอเจิ้นซึ่งอยู่ไกลออกไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์