ภายในห้องเสียงโครมหนึ่งดังขึ้น แกนวิญญาณแวววาวราวมายางามตระการกองหนึ่งถูกเทออกมา ส่องประกายเต็มห้อง เย้ายวนใจหาใดเปรียบ
นี่คือรางวัลที่หลินสวินได้จากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินวันนี้
ภายในนั้นมาจากการชนะติดกันก่อนหน้าสามสิบเก้าสนาม ได้รับเจ็ดพันยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ
การประลองสนามที่สี่สิบเอาชนะเฉิงลี่เสวี่ย ได้รับรางวัลสิบเท่าและหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางต่างหาก สองรายการรวมเข้าด้วยกัน ก็คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าแกนวิญญาณขั้นกลางและยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ!
นี่เป็นทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ยิ่งยวดก้อนหนึ่ง ทว่าเมื่อหลินสวินนำแกนวิญญาณเหล่านี้แลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางกลับดีใจไม่ออก
อย่างมากที่สุดสามารถซื้อหยกควบรวมจิตระดับกลางได้สิบเจ็ดก้อนเท่านั้น
หลินสวินสงสัยนัก ด้วยความอยากอาหารของหนอนกินเทพเก้าตัว หยกควบรวมจิตแค่นี้คงอยู่ได้ไม่กี่วัน…
แกรกๆ
ซย่าเสี่ยวฉงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังแทะเมล็ดทานตะวันกินอย่างเบิกบานยิ่ง
เมล็ดทานตะวันชนิดนี้มีสีขาววับวาวอวบอิ่มดุจเม็ดหยก เป็นผลของ ‘ทานตะวันวิญญาณ’ ซึ่งนักปลูกพืชวิญญาณเพาะปลูก หลังผัดรวมกับเครื่องปรุงรสบางส่วนจะกรอบอร่อยถูกปาก แก่นเมล็ดบรรจุกลิ่นหอมกรุ่นและพลังวิญญาณราวไหมทักถอ เป็นของทานเล่นซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณยิ่งอย่างหนึ่ง
“พี่หลินสวิน พรุ่งนี้ท่านจะไปอีกไหม”
ปากน้อยๆ ของซย่าเสี่ยวฉงกินเมล็ดขมุบขมิบ กะพริบตาโตใสสะอาดปริบๆ ท่าทางไร้วิตกกังวลนัก ไม่ช้าบนโต๊ะก็พะเนินด้วยเปลือกเมล็ด
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “พรุ่งนี้เปลี่ยนสถานที่ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไปไม่ได้แล้ว”
นครเตโชเจริญรุ่งเรืองงามวิจิตร แค่ในเมืองก็มีลานประลองยุทธ์กว่าร้อยแห่ง กระจายทั่วบริเวณ
หนึ่งในนั้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดไม่ต้องสงสัยว่าคือ ‘ลานประลองยุทธ์นครเตโช’
เป็นกิจการซึ่ง ‘สี่สำนักสามตระกูล’ ร่วมมือกันก่อตั้ง แน่นอนว่าคือลานประลองยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีสมชื่อ มาตรฐานและอิทธิพลเป็นสิ่งที่ลานประลองยุทธ์อื่นไม่อาจเทียบอยู่โข
เฉกเช่นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร หนึ่งเดือนมานี้ท้าทายวีรบุรุษแต่ละคนของแคว้นวิญญาณอัคนีบนลานประลองยุทธ์นครเตโชมาโดยตลอด
ผลการต่อสู้ของเขาเจิดจรัส กระทั่งตอนนี้ไม่เคยพ่ายสักครา เรียกได้ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลคนหนึ่งซึ่งถูกจับตามองมากที่สุดในนครเตโช ณ ปัจจุบัน
เปรียบเทียบกันแล้ว ความอึกทึกครึกโครมที่หลินสวินก่อ ณ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ไม่อาจเทียบฟางหลินหานได้
ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินสู้ฟางหลินหานไม่ได้ แต่เพราะอิทธิพลของลานประลองยุทธ์นครเตโชยิ่งใหญ่เกินไป การประลองซึ่งเกิดขึ้น ณ ที่นั่นได้รับความสนใจจากทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีโดยปริยาย
ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินกลับเห็นชัดว่าด้อยกว่ามาก ชื่อเสียงแม้จะมีแต่กลับจำกัดแค่ภายในนครเตโชเท่านั้น
และลานประลองยุทธ์ขนาดเช่นลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ในนครเตโชอย่างต่ำที่สุดสามารถหาได้มากถึงหลายสิบแห่ง!
เพราะเรื่องการรับรางวัล หลินสวินได้ผูกพยาบาทกับลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจขึ้นเวทีต่อสู้ของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอีก
ดังนั้นหากหลินสวินหมายเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณต่อไป คงได้แค่เลือกลานประลองยุทธ์อื่นแทน
ซย่าเสี่ยวฉงเป็นคนไม่คิดอะไรมากนัก ไม่ได้สนใจเค้ามูลอะไร โห่ร้องยินดีว่า “ดีเหลือเกิน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไม่มีพวกต่อยตีเป็นสักคน ข้าไม่อยากไปนานแล้ว”
เห็นชัดว่านางยังหวังให้มีคนสามารถเอาชนะหลินสวิน โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีของหลินสวินสักหน่อย!
“เหอะๆ”
หลินสวินได้แต่หัวเราะ เห็นได้ว่านิ่งสงบนัก โดนซย่าเสี่ยวฉงจู่โจมเช่นนี้หลายครั้ง ทำเขามีภูมิต้านทานอันมั่นคงขึ้นแล้ว
…
เวลาพลบค่ำ เงาร่างผึ่งผายสูงใหญ่ของฟางหลินหานอาบไล้แสงอาทิตย์อัสดงหวนคืนโรงเตี๊ยมอีกครา จากนั้นจึงเคาะเปิดประตูห้องหลินสวิน
“เจ้าได้ยินหรือยัง ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินมีเด็กหนุ่มปริศนาผู้หนึ่ง ชนะประลองติดกันสี่สิบสนาม ซ้ำยังทำเฉิงลี่เสวี่ยยอมแพ้ระหว่างต่อสู้ด้วยตนเอง”
ฟางหลินหานสองแขนกอดอก ร่างเอียงพิงประตูด้านหนึ่งแต่ไม่ได้เข้ามา ให้อารมณ์เฉื่อยเนือยอย่างหนึ่ง คล้ายเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยียนคุยเล่นกับหลินสวิน
“อืม” หลินสวินพยักหน้า
สำหรับซย่าเสี่ยวฉง หลังพบว่าฟางหลินหานปรากฏตัว แม้แต่แทะเมล็ดนางล้วนลืมสิ้น สองมือเท้าใบหน้าน้อย ดวงตาใสสะอาดจ้องมองตาค้างอย่างลุ่มหลง
อีกทั้งการแสดงออกของนางล้วนไม่ขัดเขินแสร้งทำแม้แต่น้อย มองอย่างกำเริบเสิบสาน ตรงไปตรงมายิ่งยวดไม่ปกปิดอะไรสิ้นเชิง
หลินสวินคร้านจะใส่ใจเจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ เขากำลังใคร่ครวญว่าทำไมฟางหลินหานถึงวิ่งมาคุยเรื่องนี้กับตนกะทันหัน
“ช่วงนี้ข้ายากพบคู่ต่อสู้ที่น่าพึงใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสักหน่อย ดูว่าเด็กหนุ่มปริศนานั่นจะร้ายกาจเหมือนข่าวลือหรือไม่”
ฟางหลินหานกล่าว “เจ้าจะไปด้วยกันไหม”
“ไป!”
ซย่าเสี่ยวฉงพลันร้องตะโกน ทำหลินสวินตกใจสะดุ้งโหยง จากนั้นสีหน้าพลันมืดทะมึน เจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ลืมคำที่ข้าพูดเมื่อกี้แล้วรึไง
พรุ่งนี้น่ะต้องเปลี่ยนสถานที่!
ทว่าซย่าเสี่ยวฉงมองข้ามการดำรงอยู่ของหลินสวินนานแล้ว ใบหน้าน้อยไร้เดียงสาของนางเต็มไปด้วยความหลงใหล
ในสายตานาง เงาร่างกำยำของฟางหลินหานที่เอนพิงประตู เห็นได้ว่าอิสระเฉื่อยเนือยโดดเด่นเหนือผู้อื่น ใบหน้าซึ่งเจือเสน่ห์ร้ายกาจบ้าระห่ำ ถูกแสงอาทิตย์อัสดงที่ลอดผ่านหน้าต่างเคลือบทับชั้นหนึ่ง ดูราวกับภาพมายา สะท้อนระยับพร่าเลือน หล่อเหลาถึงขั้นชวนใจสลาย…
แต่หลินสวินกลับมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ว่ามุมปากนุ่มนวลอวบอิ่มของซย่าเสี่ยวฉงมีน้ำลายเป็นประกายสายหนึ่งไหลออกมา…
“ท่านนี้คือ?” ฟางหลินหานชะงักไป
“เจ้าคนที่โรคบ้าผู้ชายกำเริบคนหนึ่ง เวลาล่วงมามากแล้ว มีเวลาค่อยคุยกัน” หลินสวินตอบอย่างไม่สบอารมณ์หนึ่งประโยคก็ปิดประตูดังปึง ขังฟางหลินหานไว้นอกประตู
…
นอกโรงเตี๊ยม ความมืดมิดดุจผืนม่านปกคลุมท้องฟ้า แผ่กว้างและอึมครึม นั่นคือเมฆทะมึนหนาแน่นคล้ายจวนจะฝนตก
ภายใต้ชายคาเตี้ยต่ำแห่งหนึ่งไม่ไกลนักมีเงามืดสองร่างยืนอยู่ เก็บงำพลังทั่วร่าง หากไม่มองโดยละเอียดคงไม่อาจสังเกตเห็นการมีอยู่แต่แรก
พวกเขากำลังพูดคุยผ่านจิตรับรู้
“จะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่”
“รอต่ออีกหน่อย”
“กับแค่สังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เหตุใดต้องระมัดระวังเช่นนี้ ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติก็ต้านการลอบสังหารเราไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“ในโรงเตี๊ยมนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าหนุ่มนั่น ยังมีฟางหลินหานแห่งอาศรมดาบแปดวิทูรอีกคน หากทำเจ้านี่ตกใจตื่น เกรงว่าจะนำมาซึ่งความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”
“ฟางหลินหาน? หึ เจ้าหนุ่มที่มาจากแคว้นวารีทมิฬคนหนึ่ง ช่วงนี้กลับสร้างคลื่นลมในนครเตโช ดูแคลนผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี โอหังและหลงระเริงเหลือเกิน ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้สังหารมันพร้อมกันซะเลย”
“ครั้งนี้คือมาสังหารเด็กหนุ่มนั่น ส่วนกับฟางหลินหานไม่ต้องทำการมากเกิน เจ้าเด็กฟางหลินหานนี่แม้บ้าระห่ำ แต่ตอนนี้มีชื่อเสียงมากเกินไป ทันทีที่เขาตายไปอย่างแปลกประหลาด จะต้องก่อให้เกิดความสนใจมากเกินไป แต่สำหรับเด็กหนุ่มปริศนานั่น… แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่ง ไร้สำนักไร้พรรค ไร้ที่พึ่งพิง ตายไปก็ไม่ก่อเกิดคลื่นลมอะไร”
ทั้งสองต่างสวมชุดคลุมดำบดบังกาย อาศัยจิตรับรู้เจรจา ประดุจพรายวิญญาณจากขุมทมิฬ ท่ามกลางรัตติกาลมืดสนิทเห็นได้ว่าชวนขนพองสยองเกล้านัก
แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นสักนิด ยังมีเงาร่างที่แปลกประหลาดกว่าพวกเขาอยู่อีกร่าง เดินมาจากถนนสายหลักฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
“ให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว”
เสียงหลินสวินดังขึ้นกลางความเงียบกะทันหัน คนชุดดำทั้งสองทั่วร่างพลันขึงตึงตกใจจนแทบสะดุ้งโหยง
เวลานี้พวกเขาถึงได้พบว่าเป้าหมายการลอบสังหารครานี้ ถึงกับยืนห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามจั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!
ราวปรากฏตัวกลางอากาศ ทำเอาทั้งสองตกใจจนขนพองสยองเกล้า ล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาอยู่บ้าง
“เจ้า… มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนชุดดำหนึ่งในนั้นขนลุก ลนลานไม่หยุด เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นสักนิด นี่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“อ้อ ข้าเพิ่งมา”
หลินสวินกล่าวสบายๆ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหววาบประกาย พินิจพิเคราะห์คนชุดดำทั้งสองตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “จริงสิ บนตัวพวกเจ้าคงมีแกนวิญญาณสินะ”
นี่คือคำถามที่แปลกประหลาดนัก ทำเอาคนชุดดำทั้งสองตะลึงงันไม่สบายไปทั้งตัว รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นเหยื่อที่ถูกจับตามอง
สถานการณ์ไม่เข้าที!
คนชุดดำทั้งสองในใจสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะนี่ปรากฏตัวอย่างแปลกประหลาดเกินไป ทำให้พวกเขาได้กลิ่นอันตราย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์