เงาร่างสายหนึ่งพุ่งหวือระหว่างเนินเขา ความเร็วว่องไวอัศจรรย์หาใดเปรียบ ชือน้ำแข็งสีขาวราวหิมะสายหนึ่งทะยานสู่ท้องนภา แหงนหน้าร้องคำราม พิทักษ์อารักขาแก่เขา
เพียงชั่วขณะเท่านั้นเงาร่างสายนี้พลันอันตรธานลับไป กลับทำเอาเหล่าสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้าระหว่างทางส่วนหนึ่งตกใจจนหวีดร้องแตกตื่นไม่สิ้นสุด
เงาร่างสายนั้นก็คือหลินสวิน
ตั้งแต่ออกจากเขาบรรพตเขียว เขาก็ลัดเลาะกลางเนินเขา รีบมุ่งสู่แคว้นตาฉิน
อีกยี่สิบกว่าวัน เทศกาลโคมกถามรรคที่มีชื่อเสียงก้องโลกจะเปิดฉากขึ้น ส่วนสถานที่ของเทศกาลโคมกถามรรค ก็อยู่บนเขาพยับครามภายในอาณาเขตแคว้นต้าฉินนั่นเอง
ตูม!
ทิวเขาประหนึ่งง้าว เรียงรันตั้งตระหง่านกลางห้วงอากาศ ทั่วสรรพางค์กายของหลินสวินปลดปล่อยแสงเรืองรองศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วว่องไวประดุจไล่ทิวาล่าอสนี หวดข้ามห้วงอากาศ บังเกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกครึกโครม
ตลอดทางเขาสำแดงและเคี่ยวกรำพลังของตน เพิ่งเลื่อนขึ้นระดับกระบวนแปรจุติ แม้จะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแกร่งกล้าที่สุดตามตำนานเล่าขานแล้ว ทว่าหลินสวินก็ยังไม่อาจผ่อนคลาย
ก่อนมหาสงครามมาเยือน การหล่อหลอมมรรคเพื่อเป็นราชัน เหยียบย่างบนมกุฎ และกลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริง การฝึกปราณในระดับกระบวนแปรจุติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ระดับนี้เป็นระดับสุดท้ายแห่งห้าระดับใหญ่ของการฝึกปราณ อยู่เหนือระดับกำลังภายใน ระดับจิตผสานวิญญาณ ระดับมหาสมุทรวิญญาณ และระดับหยั่งสัจจะ เหนือขึ้นไปอีกก็คือราชันระดับสังสารวัฏที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าฝันใฝ่!
กล่าวได้ว่ากระบวนแปรจุติเป็นระดับสำคัญที่อยู่ตรงกลาง เชื่อมระหว่างการฝึกปราณก่อนหน้าและสิ่งที่กำลังจะตามมา หากปรารถนาเป็นราชัน จะต้องเสริมสร้างรากฐานให้เหนียวแน่นไร้ที่เปรียบให้ได้!
ระดับกระบวนแปรจุติแบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย
บรรลุถึงระดับนี้ ถ้ำสวรรค์ภายในร่างจะกลายเป็นจักระเทพ รวมถึงพลังต้นกำเนิดทั้งปวงของเจ้าตัวด้วย
กระบวนแปรจุติ ความหมายตรงกับชื่อ หมายถึงลักษณ์อัศจรรย์ของการเปลี่ยนแปลงและกำเนิดใหม่ หมุนวนโดยสมบูรณ์
ภายในจักระเทพ เก็บซ่อนไว้ซึ่งมรรควิถีของผู้ฝึกปราณ และแก่นจริงแท้แห่งการแจ้งมรรค ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งกำเนิดพลังของผู้ฝึกปราณด้วย
บรรลุถึงระดับนี้แล้ว ผู้ฝึกปราณสามารถควบคุมพลังแห่งเจตจำนงมรรค ควบรวมพลังจิตวิวัฒน์เป็นจิตรับรู้ มีพลานุภาพพลิกฟ้าคลุมดินอยู่ในครอบครอง
กล่าวโดยทั่วไป ระดับกระบวนแปรจุติก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดสูงสุดในโลกียะแล้ว
ส่วนผู้เป็นราชัน นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยัดยืนอยู่บนยอดเขาเหนือปวงชน แยกตัวออกจากการฝึกปราณห้าระดับใหญ่ ข้ามผ่านความเป็นความตายและมุ่งแสวงหาอมตะนิรันดร์ เป็นเจ้าเหนือหัวระดับยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
หากอริยเทพไม่ปรากฏกาย เช่นนั้นราชันก็อยู่เหนือสุด!
การฝึกปราณในปัจจุบันของหลินสวิน อยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น สามารถสำแดงจักระเทพมหามรรคของตน
แต่ที่ต่างจากมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไป คือเขาเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งมกุฎแล้ว อีกทั้งมีวิญญาณแห่งพลังจิต แม้แต่การบำเพ็ญมหามรรค ก็บรรลุถึงขั้นเจตจำนงแห่งมรรคตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะแล้ว
ส่วนตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาสามารถกำราบสังหารราชันกึ่งระดับได้ ย่อมไม่เกรงกลัวผู้อยู่ในระดับเดียวกันหน้าไหนทั้งนั้น!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลินสวินมุ่งแสวงหาคือเส้นทางแห่งความบริบูรณ์ของตน เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดในบรรดาผู้เป็นราชันทั่วพิภพ ย่อมไม่อาจพอใจแต่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
‘ครึ่งหลังของเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินบันทึกความเร้นลับของการกลายเป็นราชัน ไม่ใช่วิธีฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างแท้จริง ดูจาดจุดนี้ หากต้องการทะลวงความเป็นความตายกลายเป็นราชัน จำเป็นต้องให้ตัวผู้ฝึกปราณก้าวออกจากมรรคาของตน… มีเพียงทำเช่นนี้ อาจจะสามารสร้างความแตกต่างกับผู้อื่น แตกต่างจากอดีต กลายเป็นมกุฎราชันอย่างแท้จริงได้…’
เร่งรีบเดินทางไปพลาง หลินสวินก็ทำความเข้าใจและใคร่ครวญไปด้วย
ครั้งก่อนตอนที่ทะลวงด่านในห้องโถงมรรคาสวรรค์ รางวัลที่ได้รับมามีสองชิ้น คือครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’
เพียงแต่สิ่งที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน คือความเร้นลับแห่งการกลายเป็นราชัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นประสบการณ์และการหยั่งรู้อย่างหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า หากบำเพ็ญเพียรตามมรรคาที่ตนเดินอยู่ต่อไป เช่นนั้นมรรคาที่ตนก้าวเดินย่อมไม่เหมาะแก่การก้าวกลับไปบนเส้นทางเก่าแก่ซึ่งมุ่งสู่ระดับราชัน จะต้องสืบสานอดีตบุกเบิกปัจจุบัน ฝ่าทะลวงเส้นทางแห่งราชันซึ่งเป็นของตน
สืบสานอดีตสำแดงปัจจุบัน ใช้ปัจจุบันเป็นหนทางบุกเบิกวิถีแห่งอนาคต!
นี่ย่อมเป็นมรรคาที่แตกต่างจากทั้งอดีตและปัจจุบันสายหนึ่งอย่างแน่นอน!
สิ่งที่เรียกว่าทุกยุคสมัยของแผ่นดินย่อมปรากฏอัจฉริยบุคคล ผลงานแต่ละคนเล่าขานสืบมานับร้อยปี หนทางในอดีตเป็นเพียงการสืบทอด สามารถตกทอดสืบต่อไปได้ แต่กลับไม่อาจรักษาให้คงเดิม เป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการก้าวเดินซ้ำรอยเดิมของคนสมัยโบราณ!
ไม่ว่าความสำเร็จจะยิ่งใหญ่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก่งแย่งแข่งขันกับอริยบุคคลบรรพกาลได้เลย
และตอนนี้ มหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังมาเยือน นี่ย่อมเป็นมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคบรรพกาลอย่างแน่นอน
ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ หากยังคงเดินย่ำซ้ำรอยเดิมบนเส้นทางเก่าแก่ จะเหยียบย่างบนเส้นทางมกุฎราชันอันเบาหวิวเฉกเช่นตำนานเล่าขานสายนั้นได้อย่างไร
ฝึกปราณจนบัดนี้ หลินสวินแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ ทำให้เขายิ่งตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าหากยังยึดมั่นดึงดันในมรรคาที่สืบทอดต่อกันมา ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าคงไร้วาสนากับระดับมกุฎราชันเป็นแน่แท้!
ดังนั้นสิ่งที่เขาร้องขอในตอนนี้ก็คือ มรรคาสายหนึ่งซึ่งเป็นของตัวเขาเองที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนทางแห่งการหล่อหลอมอย่างแท้จริง สรรสร้างเส้นทางมหามรรคที่แตกต่างจากอดีต เพียงพอจะประชันความรุ่งเรืองกับอริยบุคคลบรรพกาลได้
แน่นอน ทุกอย่างนี้อาจค่อนข้างริบหรี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าการเดินทางพันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก ขอเพียงพากเพียร จะต้องมีวันแห่งความสำเร็จแน่นอน
……
สามวันต่อมา
ในพื้นที่รกร้าง หลินสวินยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ ดาบหักโฉบพุ่งผ่านห้วงอากาศฉับพลัน แหวกเฉือนทิวเขาพันลี้ ราวกับสายฟ้าสีเงินยวง
เพียงแต่ทุกอย่างต่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
จนกระทั่งเงาร่างของเขาจากไปไม่นาน ทิวเขาลูกแล้วลูกเล่าเหล่านั้นถึงกับแหวกสะบั้นจากกึ่งกลาง ก่อนถล่มทลายโครมครืน
ภูเขาแต่ละลูกรอยตัดราบเรียบเป็นระเบียบ ราวกับถูกตัดด้วยมือของเทพสวรรค์ มีพลังอันน่าสั่นสะท้านอย่างหนึ่ง
กระบวนเฉือนนภาสงัด!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์