ตอน บทที่ 210 ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินไป จาก บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 210 ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินไป คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ ที่เขียนโดย ต้าวเมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 210 ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินไป
ทั้งวิหารใหญ่เสียงเงียบอย่างป่าช้า ทุกคนตกตะลึงและงงงัน เหมือนเป็นก้อนหินรูปเคารพที่กำลังตกตะลึงตาค้าง มองดูคนสองคนที่อยู่ภายในวิหารใหญ่ คนหนึ่งเป็นถึงเจ้าสำนักเทียนอู่จง อีกคนเป็นจูนจิ่วที่สำนักอื่นไม่ยอมรับไว้
มีคนกล่าวไว้ว่าเมื่อเจอเรื่องร้ายและจะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดี นี่มันเปลี่ยนเร็วไปไหม
เมื่อครู่เพิ่งพูดไปว่าไม่มีคนรับจูนจิ่วเป็นศิษย์ มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นยังไม่ถึงสองวินาที เหมือนโดนตบหน้าดังเพียะๆๆเลย ชิงหยู่จะรับจูนจิ่วเป็นศิษย์น้อง จูนหยูนเสวี่ยจะโอ้อวดโอหังสักเพียงใดนั่นมันก็กับคนระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้จูนจิ่วกลายเป็นผู้อาวุโสกว่าทันที ความห่างเหินระดับดีช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ชิงหยู่พูด “ผ่านไปหนึ่งวินาที เจ้าคิดได้หรือยัง?”
ทุกคน “……” เพียงแค่หนึ่งวินาทีจะคิดอะไรออกล่ะ?
ริมฝีปากแดงยกมุมปากขึ้นสูงนิดๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตาตกอยู่ที่ริมฝีปากชุ่มฉ่ำของจูนจิ่ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนมองหัวใจเต้นแรง และอยากจะเข้าไปจุมพิต จูนจิ่วเปิดปากพูด “ดีเลย ศิษย์พี่”
การขานเรียกศิษย์พี่ ชิงหยู่ฟังคนอื่นเรียกมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนสายน้ำชุ่มฉ่ำไหลผ่านหัวใจ เย็นเฉียบไปครู่หนึ่งจากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงดั่งไฟ ความรู้สึกเช่นนี้ มันดีจนบอกไม่ถูก เขาชื่นชอบ
ชิงหยู่ยกมือขึ้นมาตบไหล่จูนจิ่วเบาๆ “ดีๆๆ ศิษย์น้องรักของข้า พวกข้าต้องดูแลซึ่งกันและกันดีๆ”
“เจ้าสำนักชิง ท่านกำลังมึนเมาแล้วพูดจามั่วซั่วหรือเปล่า?” ท่านชิงพูดจาแทรกขึ้นมาอย่างยากลำบาก สีหน้าของหน้าอธิบายเป็นคำพูดยากมาก มันมึนงงและไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าการได้ยินว่า เจ้าสำนักเจี้ยนจงรับจูนหยูนเสวี่ยเป็นลูกศิษย์สายหลักเสียอีก
เจ้ารับลูกศิษย์แทนพ่อของเจ้า พ่อเจ้าที่อยู่ยมโลกยังไม่รู้อีกหรือ?
เมิ่งจื้อหยวนเปิดปากพูด “เจ้าสำนักชิงท่านจะต้องคิดให้ดีเสียก่อน จะมาพูดจามั่วซั่วไม่ได้นะ”
“ท่านชิง ท่านจะรับจูนจิ่วเป็นศิษย์น้องจริงหรือ?” ท่านถูฉีเปิดปากพูดเช่นกัน เขาไม่ได้ตกตะลึงหรือสงสัยเหมือนกับคนอื่นๆ สายตาของเขาตกไปที่จูนจิ่ว เหมือนรู้สึกเสียดายศิษย์ที่ตัวเองจับตามองไว้กำลังจะถูกแย่งไป
“ทำไม” ชิงหยู่ดึงจูนจิ่วเข้ามาในอ้อมกอด โอบกอดไหล่นางไว้ “ข้ารับศิษย์แทนพ่อแล้วจะทำไม? มีความเห็นเป็นอื่นก็หุบปากไปซะ ข้าไม่อยากฟัง วันนี้ข้าขอวางคำพูดไว้ตรงนี้ จูนจิ่วเป็นศิษย์น้องของข้า และเป็นดาวเด่นประจำสำนักเทียนอู่จง เข้าใจไหม? ”
ทุกคนมุมปากสั่นกระตุก พวกเขาไม่ได้เข้าใจมากขนาดนั้น
จูนจิ่ว “……”
นายยกมือขึ้นสูง ปลายนิ้วมือหนีบเข็มเงินแล้วแทงเข้าที่มือของชิงหยู่ จนเขาร้องเจ็บเสียงหลง รีบปล่อยมือถอยออกไป สะบัดมือไปมา สีหน้าชิงหยู่ตกตะลึงมาก “ศิษย์น้องเจ้าใช้เข็มแทงข้า”
“ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินไป” จูนจิ่วพูดพร้อมสีหน้าเย็นชา
ท่ามกลางความมืด เหลิ่งยวนที่ไม่พอใจกับการโอบไหล่ของชิงหยู่จนตัวสั่นกระตุก เพียงพริบตาเดียวจูนจิ่วใช้เข็มแทงใส่เขาจนถอยห่างออกไป จากหน้าเงยหน้ามองไปหาโม่อู๋เยว่ที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม ชื่นชอบโปรดปราน จนยากที่จะจินตนาการได้
กำลังไม่เข้าใจ เหลิ่งหยวนได้ยินโม่อู๋เยว่พูดเสียงพึมพำ เขาพูดว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่เคยพูดกับข้าว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเลย”
“แม่นางจูนชื่นชอบนายท่าน แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ” เห็นอยู่ตำตาว่าแม่นางจูนหลบหลีกมาไม่ได้ ปากพูดกับใจพูดมันคนละเรื่องกันเลย เหลิ่งยวนต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน
ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าโม่อู๋เยว่อารมณ์ดีขึ้นเยอะมาก
เขาพิงอยู่ตรงเสาต้นหนึ่งของวิหารด้วยท่าทางขี้เกียจ นอกจากจูนจิ่วกับเสี่ยวอู่แล้ว ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ สีดำสนิทบดบังประกายแสงสีทอง มองไปหาจูนจิ่วด้วยสายตาลุ่มลึก ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลย
จูนหยูนเสวี่ยจะเป็นสตรีที่โลกต้องภาคภูมิใจ
จูนหยูนเสวี่ยทะนงตนได้ใจ แต่กลับไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้จูนจิ่วจงใจให้มันเป็นแบบนั้น ขณะที่เดินอยู่ ณ ทางเดินเล็กๆในป่า จูนจิ่วพูดว่า “จูนหยูนเสวี่ยยังร้อนแรงไม่พอ ยังต้องผลักดันนางเพิ่มอีก เมื่อถึงเจี้ยนจงถึงจะเป็นเวทีของนาง”
นางเอียงหัวมองไปทางด้านหลัง แล้วพูดต่ออีกว่า “ว่ากันว่าการแข่งขันใหญ่อู๋อจงเหลือเวลาเพียงครึ่งปี เหลือเวลาให้จูนหยูนเสวี่ยได้เหิมเกริมวางอำนาจบาตรใหญ่น่าจะเพียงพอแล้ว”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่อยู่ที่เจี้ยนจง ไม่กลัวว่านางจะหลุดจากการควบคุมหรือ?” โม่อู๋เยว่ปรากฏกายขึ้นมาทันที จากนั้นมาเดินอยู่ข้างกายจูนจิ่วพร้อมก้มหน้ามองดูนาง
“ยังมีโจ่ฉีคอยเฝ้าดูนางอยู่นะ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางต้องตายก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากการควบคุมจากพลังจิตของข้าได้ นอกจากว่าจะมีคนช่วยนางเอาออก คนที่จะเอาพลังจิตของข้าออกได้ ในอู๋อจงมีเพียงไม่กี่คน” จูนจิ่วเชื่อมั่นในพรสวรรค์และพละกำลังของตัวเองเป็นอย่างมาก
การมีชีวิตอยู่ถึงสองภพ พลังจิตของนางแข็งแกร่งยิ่งใหญ่จนน่าทึ่ง ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ลงล็อค นั่นก็คือร่างกายนี้ไม่เหมาะสม
นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างสาแก่ใจ หันหน้าไปทางโม่อู๋เยว่แล้วพูดว่า “นอกเสียจากว่าจะเป็นเจ้า หรือ เหลิ่งยวนที่มีพลังแข็งแกร่งมาก มิเช่นนั้นหากฝืนเอาพลังจิตออกไป จูนหยูนเสวี่ยไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“เชื่อ ข้าไม่เคยสงสัยเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยู่แล้ว” โม่อู๋เยว่กระตุกยิ้มมุมปาก
คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพลังจิตที่จูนจิ่วมี แต่เขารู้ชัดเจนดี นั่นมันเป็นพลังที่อยู่ในระดับชั้นต่ำสามชั้นถึงจะมีครอบครองได้ หากไม่ใช่เพราะร่างกายนี้ที่ฉุดรั้งเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไว้ นางจะแข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่านี้
โม่อู๋เยว่มองดูจูนจิ่วด้วยสายตาลุ่มลึก นัยน์ตาเผยความปรารถนาร้อนแรง เขารอให้ถึงตอนที่ร่างกายของจูนจิ่วเติบโตกว่านี้ และเพียงพอเหมาะสมกับพลังจิตของนาง พอถึงตอนนั้นที่ดอกไม้จะบานสะพรั่ง นั่นก็คือตอนที่เขาจะได้ “รับประทานอาหาร” มันจะต้องอร่อยมากจนชนิดที่กระชากวิญญาณเลยล่ะ
“โม่อู๋เยว่” จูนจิ่วเรียกชื่อเขากะทันหัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
หนังสือยังไม่จบ ไม่อัปต่อแล้วเรอค่ะ...