พี่ชายที่กระโดดลงมาจากท้องฟ้าผู้นี้เป็นใคร
แม้มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลามาก ถึงขั้นสามารถทำให้เทพธิดาที่งดงามอย่างนางยังอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหว
แต่การกระโดดลงมาจากท้องฟ้าแล้วเหยียบลงบนเปลือกกล้วยวิญญาณ มันจะน่าขันเกินไปหรือเปล่า!
“เทพธิดาโปรดวางใจ ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าโจรถ่อยแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผมของเจ้า”
เสิ่นเทียนลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ดึงเอาเสี่ยวหลิงเซียนมาปกป้องที่ด้านหลังของตนเอง
เขาชี้ไปทางโจรถ่อย กล่าวอย่างมีคุณธรรม “นี่! เจ้าโจรถ่อยใจกล้า กล้าลวนลามนายหญิงกลางวันแสกๆ ควรได้รับโทษอย่างไร!”
โจรถ่อยคนนั้นรู้สึกงงอยู่ “หา โจรถ่อย? ใครลวนลามนายหญิง!”
เสี่ยวหลินเซียนที่อยู่ด้านหลังเบะปาก กล่าวพึมพำ “ข้ายังเป็นสาวน้อยนะ ไม่ใช่นายหญิงอะไรสักหน่อย!”
มุมปากของเสิ่นเทียนกระตุก นี่มันใช่ประเด็นสำคัญหรือเนี่ย
ประเด็นสำคัญคือข้ากระโดดลงมาจากท้องฟ้า ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม สวมบทวีรบุรุษช่วยหญิงงามไม่ใช่หรือหรือ
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า” เสิ่นเทียนมองโจรถ่อยผู้นั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย “คืนศิลาวิญญาณให้แม่นางเสี่ยวหลิงเซียน ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง ไม่เช่นนั้น…”
โจรถ่อยผู้นั้นยิ้ม เขามองเสิ่นเทียนด้วยสายตาที่ดูถูก “ไม่เช่นนั้นทำไม”
มุมปากของเสิ่นเทียนยกสูงขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เพียงพอจะทำให้หญิงสาวนับหมื่นนับพันคลั่งไคล้ได้
เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าว “ข้าได้ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ไขว่คว้าเอง”
เสี่ยวหลิงเซียนที่อยู่ด้านหลังกระตุกแขนเสื้อของเสิ่นเทียน “คุณชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่รู้จักกัน ข้าว่าท่านไปดีกว่า!”
“ไม่รู้จัก? เหอะเหอะ”
เสิ่นเทียนเงยหน้าสี่สิบห้าองศาแหงนมองท้องฟ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง “ยืนโดดเดี่ยวเคียงธาราอันหนาวเหน็บ จอมยุทธ์ผู้พานพบในยุทธภพ พานพบอีกคราคือพรหมลิขิต”
มองใบหน้าที่สง่างามของเสิ่นเทียน ฟังคำพูดที่มีชั้นเชิงจากปากของเขา
ใบหน้าของเสี่ยวหลิงเซียนแดงเล็กน้อย “แต่ว่า…”
“ไม่มีคำว่าแต่” เสิ่นเทียนพูดขัดเสี่ยวหลิงเซียน กล่าวอย่างหนักแน่น “ระหว่างทางพานพบอธรรมเข้าช่วยเหลือ เมื่อถึงเวลาลงมือก็ย่อมต้องลงมือ”
“พวกเราคือผู้บำเพ็ญเซียน เห็นคนเดือดร้อนจะไม่ช่วยได้อย่างไร?”
โจรถ่อยรู้สึกอับอายจนโมโห ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “มีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านโผล่ออกมา แถมยังอยากสวมบทวีรบุรุษช่วยหญิงงาม? คอยดูข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
กล่าวจบ โจรถ่อยส่งเสียงคำราม พุ่งตรงเข้าไปหาเสิ่นเทียน
บนร่างกายของเขามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา เขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนหลอมปราณของจริง
เสี่ยวหลิงเซียนรู้สึกร้อนใจแล้ว “ไม่ต้องสู้ พวกเจ้าไม่ต้องสู้กันแล้ว”
“แม่นางไม่จำเป็นต้องกังวลแทนข้า ตัวตลกเช่นนี้ ยังไม่อยู่ในสายตาของข้า”
เสิ่นเทียนเหลือบมองโจรถ่อยผู้นั้นด้วยสายตาที่ดูถูก “ลุงกุ้ย!”
ตะคอกเสียงเบา เสียงขันรับของกุ้ยกงกงที่อยู่บนหลังคาดังขึ้นทันที “บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”
“จัดการ!”
……
“บ่าวรับคำสั่ง!”
ทันทีที่สิ้นเสียง วิชามารสู่สุริยันถูกสำแดงออกมาทันที
มีพลังวิญญาณสีแดงเข้มที่แข็งแกร่งปะทุออกจากร่างกายของกุ้ยกงกง กลิ่นอายมารคลุ้มคลั่ง ลึกล้ำเปลี่ยนผัน
ร่างกายของเขาถูกพลังวิญญาณปกคลุม กลายเป็นร่างเงาสีแดง ไปขวางอยู่ตรงกลางระหว่างเสิ่นเทียนและโจรถ่อยในชั่วอึดใจเดียว
“เจ้าโจรถ่อยใจกล้า ถึงขั้นกล้าเสียมารยาทต่อองค์ชายองค์ชาย!”
คำพูดประโยคนี้ กุ้ยกงกงจงใจตะโกนออกมา
ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเหยียบโดนเปลือกกล้วยวิญญาณ เป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก คาดว่าคงเสียคะแนนความประทับใจไปไม่น้อย
แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก ด้วยดวงชะตาขององค์ชาย เหยียบเปลือกกล้วยวิญญาณเป็นเรื่องปกติแล้วที่หนีไม่พ้น
ขอเพียงเขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายออกมาโดย ‘ไม่ได้ตั้งใจ’การคว้าหญิงงามมาเป็นคู่ครองก็ไม่ใช่ปัญหา
ความสุขขององค์ชาย เป็นสิ่งที่บ่าวไล่ตามมาทั้งชีวิต
โจรชั่ว ตายซะเถอะ!
กุ้ยกงกงที่อายุห้าสิบกว่า กระหน่ำหมัดจู่โจมใส่ร่างกายของโจรถ่อยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าคลั่ง
ความเร็วที่เหนือระดับก็คือพลังที่เหนือระดับ
วิชาเซียนทั่วหล้าไม่มีวิชาใดอยู่ยงคงกระพัน ต้องเร็วเท่านั้นถึงไร้จุดบกพร่อง!
ผลบำเพ็ญระดับแดนหลอมปราณของโจรถ่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าความเร็วราวกับภูตผีวิญญาณของกุ้ยกงกง ไม่สามารถโต้ตอบแม้แต่ครั้งเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน