บทที่ 202 หุบเขามังกรศักดิ์สิทธิ์ ว่านโลหิตมังกร
สนามรบบรรพกาล ห่างจากชายแดนไปห้าร้อยลี้
วัยหนุ่มสาวสวมชุดขนนกสวยงามห้าคนปรากฏตัวขึ้นช้าๆ
พวกเขาแผ่กลิ่นอายพลังแข็งแกร่ง มีรากฐานแน่นปึ้ก
แม้จะอยู่ในสนามรบบรรพกาล ระดับพลังของทุกคนก็ถูกจำกัดไว้ใต้แก่นพลังทอง
แต่พลังแฝงจากตัวคนพวกนี้กลับมากพอจะไร้พ่ายในระดับสร้างฐาน กระทั่งต้านผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองได้
เพราะผู้บำเพ็ญห้าคนนี้คือผู้แข็งแกร่งเหนือกว่าระดับแก่นพลังทองอย่างแท้จริง
พวกเขาเข้ามาในสนามรบบรรพกาลเพราะมีแผนการเฉพาะบางอย่าง!
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ คนหนุ่มสาวห้าคนนี้เหมือนจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ เพราะข้างหลังห้าคนนี้มีปีกยาวงอกออกมา ช่วงที่สองปีกขยับยังเกิดพายุคลั่งหมุนม้วน
ชายคนหนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมยาวสีขาว ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา รูปร่างค่อนข้างผอมและสูง มือถือสมบัติวิเศษพู่กันกระเรียนด้ามหนึ่ง
ชายอีกคนสวมงอบสีเทา ใบหน้าอึมครึม แผ่กลิ่นอายที่คนเป็นห้ามเข้าใกล้ทั้งตัว เหมือนจะยังแปลงร่างไม่สมบูรณ์ ใบหน้าใต้งอบจึงเหมือนกับอีแร้ง
อัปลักษณ์มาก!
และยังมีชายอีกคนสวมเกราะขนนกสีทอง แบกดาบสงครามสีทองคู่หนึ่ง ใบหน้าองอาจเป็นคนใหญ่โต ค่อนข้างดูร้ายกาจ พลังในตัวเขาทรงพลังกว่าชายอีกสองคนไปไกลมาก
ทั้งตัวเขาเหมือนกับดาบสงครามพุ่งขึ้นฟ้า สามารถตัดผ่าท้องนภา!
ทว่าต่อให้ชายคนนี้จะแข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว ก็ยังไม่ใช่ผู้นำในห้าคนนี้
ผู้นำในห้าคนนี้คือหญิงวัยแรกแย้มที่สวมอาภรณ์สีสันหลากสี ดูอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี
ข้างหลังนางเป็นปรากฏการณ์ฟ้าดินแสงเทพห้าสีนกยูงรำแพนหางรางๆ ดูไม่ธรรมดามาก
ต้องรู้ว่านกยูงห้าสีเป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในเผ่าปีศาจของดินแดนทักษิณ มีพลังและอำนาจปกครองหนึ่งดินแดน
หญิงคนนี้มีสายเลือดสัตว์เทพที่บริสุทธิ์อย่างชัดเจน เส้นทางเซียนไร้ที่สิ้นสุด!
“ไม่นึกเลยว่าจะบุกจากชายแดนมาถึงที่นี่แล้วยังไม่เจอกลุ่มของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อีก”
ชายที่สวมเกราะขนนกสีทองแค่นเสียงขึ้นจมูก “กฎเกณฑ์ของสนามรบบรรพกาลนี่เข้าใจยากชะมัด แม้แต่พลังมองทะลุของข้ายังได้รับผลกระทบเลย”
ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ข้างท่านเซียนนกยูงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบ จินอวี่ มันเป็นการฝึกฝน ไม่ช้าก็เร็วบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะต้องเข้าไปในส่วนลึกของสนามรบแน่นอน แต่ตรงห้าร้อยลี้บนสนามรบบรรพกาลนี่โดนหุบเขามังกรตัดขาด การจะเข้าไปในห้าร้อยลี้ก็คงต้องผ่านหุบเขามารโลหิต
เราแค่ต้องเฝ้าอยู่นอกหุบเขามารโลหิต รอพวกเสิ่นเทียนเข้ามาติดกับก็พอ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะฉีกบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อย่างไรก็ตามสบาย”
เสียงผู้หญิงคนนี้ไพเราะเสนาะหูมาก เหมือนกับนกจาบฝน
ทว่าคำพูดจากปากนางกลับเผยจิตสังหารออกมาเป็นพิเศษ ชี้ตรงไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
อัจฉริยะเผ่าปักษาจินอวี่พยักหน้า “ไป๋หลิงพูดถูก เจ้าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รังแกกันเกินไปแล้ว เผ่าปักษาดินแดนทักษิณเราไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน ครั้งนี้เราจะสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก่อน จากนั้นค่อยเอาโลหิตไปล้างศิษย์คนอื่นๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
ให้พวกเผ่ามนุษย์ได้รู้ว่าเผ่าปักษาเราไม่ได้รังแกกันง่ายๆ!
ท่านเซียนข่งเมิ่ง ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว!”
ผู้หญิงที่สวมอาภรณ์ห้าสีพยักหน้าเล็กน้อย “ง่ายๆ สบายๆ”
ดังนั้น โอรสสวรรค์หนุ่มสาวจากเผ่าต่างๆ อันเป็นพันธมิตรของเผ่าปักษาดินแดนทักษิณห้าคนจึงมาซุ่มอยู่ในหุบเขามารโลหิตที่ห่างจากสนามรบบรรพกาลห้าร้อยลี้
พวกเขามองกลุ่มผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ผ่านหุบเขามารโลหิตไปทีละกลุ่มมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสนามรบด้วยอารมณ์สงบนิ่ง
พวกเขาเชื่อมั่นว่ากลุ่มฝึกฝนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะปรากฏตัวในไม่ช้าก็เร็วนี้!
…….
ทว่าตอนนี้พวกเสิ่นเทียนมาถึงจุดแปดร้อยลี้แล้ว อยู่หน้าหุบเขาแห่งหนึ่ง
ที่นี่ห่างจากชายแดนสนามรบบรรพกาลอย่างยิ่ง สีโลหิตบนพื้นดินเข้มข้นยิ่งกว่า
อีกทั้งบนพื้นยังเต็มไปด้วยวิญญาณมรณะโครงกระดูกที่บ้างก็เดินอย่างไร้จุดหมาย บ้างก็ต่อสู้กัดกินกันเอง และยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มเสิ่นเทียนเดินทางไปสู้ไป หากเจอโครงกระดูกจำนวนมาก เสิ่นเทียนกับฉินอวิ๋นตี๋จะจัดการเอง
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยจริงๆ หลังจากแกะสลักตราเวทเก็บเสียงลงไป ปืนหยินหยางพิฆาตอสูรหกสิบกระบอกของฉินอวิ๋นตี๋ก็มีอานุภาพน่าดูเลยทีเดียว
ยิงไปพร้อมกับชุดหนึ่งแล้ว โครงกระดูกที่ปกติแข็งแกร่งถูกยิงแตกกระจาย ความเร็วในการกำจัดปีศาจรวดเร็วยิ่ง
แน่นอนว่าเทียบกับเสิ่นเทียนแล้วยังห่างชั้นกันเล็กน้อย
เจ้านี่สวมเกราะนักรบมังกรเขียวดูดพลังวิญญาณฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง ใช้คัมภีร์คบเพลิงหล่อหลอมเต็มที่ เรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรนิรันดร์
เถากลืนกินเซียนที่เสริมด้วยน้ำมวลหนักปฐมกาลไร้เทียมทานกว่าเดิม กวาดล้างไปทีผ่าช่วงเอวศัตรูทั้งหมดขาดสะบั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงได้ว่ายังมีสหายข้างกายอยู่ เสิ่นเทียนคงไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว
เขาควงเถากลืนกินเซียนวนเป็นสามพันหกร้อยองศา ไม่ว่ารอบตัวเขาจะมีโครงกระดูกเท่าไรก็จะถูกฟาดแตกกระจาย!
กำลังรบของเขาทำให้ทุกคนที่เห็น โดยเฉพาะองค์ชายหกเสิ่นเอ้าสงสัยในชีวิตแล้ว
นี่แม่งใช้น้องสิบสามเสิ่นเทียนของเขาจริงๆ หรือ
ควรรู้ไว้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน เจ้านี่ยังเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังบำเพ็ญอะไรเลย!
หรือว่าน้องสิบสามจะซ่อนเร้นความสามารถ ซ่อนตัวเองมาตลอด
ความจริงเขาก็มีพรสวรรค์สูงสุดตั้งนานแล้วหรือ
สมกับเป็นบุตรของพระสนมหลาน คนธรรมดาเทียบเทียมไม่ได้จริงๆ
เสิ่นเอ้าพบว่าหลังจากตนละวางความคิดที่จะเทียบกับเสิ่นเทียน ทุกอย่างก็กลายเป็นเบาสบายขึ้น
จะว่าไปแล้ว ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าน้องสิบสามจะมีสุดยอดสมบัติที่ปรับแก้คุณสมบัติได้อย่างของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมากเช่นนี้!
อีกทั้งยังใจกว้างยินดีมอบให้ข้ายี่สิบชั่ง ดูท่าเขาคงเห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องของเรามากจริงๆ
เฮ้อ ตอนนั้นข้าไม่น่าระวังเขามากขนาดนั้นเลย ไม่สมควรจริงๆ
พอนึกได้ว่าตอนนั้นเสิ่นเทียนอยู่ตำหนักใจพิสุทธิ์อย่างโดดเดี่ยวจนเติบใหญ่ แทบไม่มีพี่น้องแท้ๆ มาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เสิ่นเอ้าก็อดรู้สึกละอายใจมิได้
ภายภาคหน้าจะต้องสนิทสนมกับน้องสิบสามไว้ เป็นห่วงเขาเหมือนกับน้องชายแท้ๆ
ถึงอย่างไรก็รับของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานเขามาแล้ว!
……..
เสิ่นเอ้ากำลังคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ ทันใดนั้นกลับเห็นร่างคนหนึ่งพุ่งมาทางตน เมื่อเพ่งสายตามองไป เป็นโครงกระดูกที่ถือกระบี่หนักถูกเสิ่นเทียนเหวี่ยงเข้ามา
“เจ้านี่มีกำลังรบไม่ถือว่าแกร่งมาก พี่หกซ้อมมือกับมันก่อนเถอะ!”
เสียงเสิ่นเทียนดังมาจากข้างๆ ทำให้เสิ่นเอ้ามุมปากกระตุก
อะไรคือเจ้านี่กำลังรบไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเลยโยนมาให้พี่ซ้อมมือ เจ้าจะบอกว่าพี่อ่อนแอมากอย่างนั้นหรือ
เป็นอัจฉริยะบำเพ็ญเซียนที่เป็นที่ยอมรับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คิดว่าเสิ่นเอ้าทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้หรือ
เสิ่นเอ้ากำลังคิดจะโต้แย้งและพูดอย่างถูกต้องชอบธรรมไปว่า ‘ข้าขอสิบตัว’
ทว่าหลังจากโครงกระดูกนั้นกวัดแกว่งกระบี่ยาวฟันเสิ่นเอ้าถอยไปไกลสิบกว่าสิบเมตรแล้ว เขาก็หุบปากไป
บ้าแล้ว เหตุใดตอนผีบ้าพวกนี้สู้กับน้องสิบสามถึงบางอย่างกับเศษเต้าหู้ แต่พอถูกน้องสิบสามโยนมาให้ข้า แต่ละตัวกลับเหมือนดีดยาล่ะ
ไอ้ผีบ้าที่รังแกคนอ่อนแอกว่า วันนี้ข้าจะสู้ตายกับพวกเจ้า!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน