เคยเห็นแต่คนคุกเข่าลงเพื่อขอยืมเงินคนอื่น ไม่เคยเห็นมีใครคุกเข่าลงเพื่อขอให้คนอื่นรับเงิน
นี่พวกเจ้าเอาจริงหรือ!
ตอนนี้ ผู้ชมที่อยู่โดยรอบก็เริ่มพากันพูดเกลี้ยกล่อม
“ในเมื่อเป็นน้ำใจของพวกเขา พี่เซียนท่านก็รับไว้เถอะ!”
“หากไม่มีพี่เซียน พวกเขาก็ไม่มีทางได้รับศิลาวิญญาณพวกนี้ นี่คือสิ่งที่พี่เซียนสมควรได้รับ”
“หว่านเมล็ดแห่งความดีย่อมได้รับผลที่ดีตอบแทน พี่เซียนสมควรได้รับ!”
“น้องชายคนนี้พูดถูกแล้ว พวกเราก็เป็นผู้มีวาสนาของท่านเซียนเช่นกัน”
“หากท่านยืนกรานไม่รับผลตอบแทนใดๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีหน้าไปขอให้ท่านเซียนช่วย”
“ท่านเซียนยืนกรานไม่รับผลตอบแทน เช่นนี้ไม่เท่ากับทำให้พวกเรากลายเป็นคนต่ำที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณหรือ”
“เชิญท่านเซียนโปรดพิจารณาเพื่อพวกเรา รับผลตอบแทนไว้เถอะ!”
……
“พวกเจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจ!”
ฟังคำพูดเกลี้ยกล่อมของผู้คนที่อยู่รอบข้าง เสิ่นเทียนถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
เขายื่นมือออกไปประคองคนทั้งสามที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าลุกขึ้น
ทว่าสิ่งที่กระอักกระอ่วนคือตอนที่คนทั้งสามทิ้งตัวลงคุกเข่าใช้แรงพอสมควร
ด้วยพละกำลังของเสิ่นเทียนที่ไม่มีพลังบำเพ็ญ จึงไม่สามารถประคองพวกเขาลุกขึ้น
และการกระทำของเสิ่นเทียนก็ทำให้สิ่งที่คนทั้งสามคิดหนักแน่นขึ้น
“เป็นอย่างที่คิด ท่านเซียนต้องการผลตอบแทน แค่ไม่รู้ควรจะพูดอย่างไรก็เท่านั้น”
“ไม่เช่นนั้น ด้วยพลังบำเพ็ญของท่านเซียน เกรงว่าคงสามารถยกพวกเราขึ้นด้วยนิ้วเดียวแล้วกระมัง!”
“ในเมื่อท่านเซียนต้องการถ่อมตน ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะให้ความร่วมมือท่านเซียนเอง!”
……
นึกถึงตรงนี้ ผู้มีวาสนาคนแรกกรอกตาไปมาหนึ่งรอบ กล่าว “ท่านเซียนโปรดฟังข้าสักคำ!”
“ท่านเซียนมาจากถ้ำหุบเหวเดียวดายแห่งเขานามวสันต์ อาจารย์คือผู้สูงศักดิ์เทียนจี เป็นผู้สืบทอดของสำนักพรรคใหญ่ที่มีชื่อเสียง”
“แม้ท่านเซียนอยู่เหนือธรรมชาติหลุดพ้นทุกสรรพสิ่ง ไม่แสวงชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่การบริหารสำนักจำเป็นต้องใช้เงินทุน”
“ท่านเซียนมีบุญคุณต่อพวกเรา ก็เท่ากับสำนักมีบุญคุณต่อพวกเรา ท่านเซียนคิดเสียว่าเงินเหล่านี้เป็นค่าธูปเทียนที่ผู้ศรัทธาบริจาคให้สำนักเป็นอย่างไร”
ผู้มีวาสนาอีกสองคนก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว แม้เป็นวัดทั่วไปหรือสำนักเต๋าก็ไม่ปฏิเสธค่าธูปเทียนของผู้ศรัทธา”
“พวกเราและท่านเซียนมีวาสนาต่อกัน ก็ถือเป็นผู้ศรัทธาของท่านเซียน ทำไมท่านเซียนจึงไม่ยอมรับค่าธูปเทียนของพวกเรา เช่นนี้ทำให้พวกเรารู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก”
เสิ่นเทียนตกตะลึง เขากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาข้ออ้างรับเงินอย่างไรดี!
แต่ปรากฏว่า คนเหล่านี้ถึงกับนึกข้ออ้างแทนเขาแล้ว?
จริงใจเช่นนี้ จะให้ข้า…
ปฏิเสธได้อย่างไร!
“เฮ้อ เบาปัญญา เบาปัญญา!”
“พวกเจ้าทำเช่นนี้ ทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก!”
เสิ่นเทียนเผยให้เห็นสีหน้าที่ขมขื่น ถอนหายใจ “ช่างเถอะ ในเมื่อนี่เป็นน้ำใจของพวกเจ้า ข้าจะช่วยอาจารย์ฝืนรับไว้ก็แล้วกัน”
“แต่รับไว้เก้าส่วนมันมากเกินไป ข้าช่วยพวกเจ้าค้นวิญญาณประเมินแร่ คิดค่าตอบแทนคนละหนึ่งส่วนก็แล้วกัน”
คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้ทุกคนอึ้งไปตามกัน
ไม่นาน ผู้มีวาสนาคนแรกกล่าวปฏิเสธอย่างชอบธรรม “หนึ่งส่วน? เช่นนี้ได้อย่างไร!”
“แม้แต่เถ้าแก่ซ่งก็ได้รับผลประโยชน์หนึ่งส่วน พวกข้าให้ท่านเซียนเพียงส่วนเดียว เช่นนี้ไม่เท่ากับดูถูกท่านเซียนหรอกหรือ”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านเซียนอย่าบ่ายเบี่ยงเลย ในความเห็นของข้าอย่างน้อยต้องแปดส่วน!”
เสิ่นเทียนจะยิ้มก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง “ทุกท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้มากเช่นนั้น อย่างมาก ข้ารับได้แค่สองส่วน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ท่านเซียนคุณธรรมสูงส่ง เช่นนี้ก็แล้วกัน! พวกเราเก็บสามส่วน ท่านเซียนเอาเจ็ดส่วน ไม่ต้องบ่ายเบี่ยงแล้ว!”
“สามส่วน!”
“หกส่วน!”
“สี่ส่วน!”
“ห้าส่วน! ห้าส่วนนี่แหละ มากกว่านี้แค่ครึ่งก้อนพวกเราก็ไม่เอา!”
คนทั้งสามกล่าวอย่างหนักแน่น “พวกเราและท่านเซียนมีวาสนาต่อกัน คือโชคลาภอันประเสริฐ”
“หินแร่วิญญาณเหล่านี้ ท่านเซียนก็เป็นคนลงแรงใจเลือกออกมา พวกเราไม่ได้ออกแรงอะไรเลย รับไว้ครึ่งหนึ่งก็หน้าด้านพอแล้ว จะให้แบ่งมากกว่านี้ได้อย่างไร!”
“หากท่านเซียนยังบ่ายเบี่ยง พวกข้าก็คงทำได้แต่คุกเข่าไม่ลุกไปไหน!”
เห็นสีหน้าที่แน่วแน่ของคนทั้งสาม ยังมีผู้มีวาสนาอีกสิบเจ็ดคนที่ต้องการลองเสี่ยงโชค
เสิ่นเทียนรู้ ตนเองไม่มีทางให้ถอยแล้ว
“เฮ้อ ก็ได้!”
“ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกเจ้าแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน