บทที่ 300 หรือข้าต้องเริ่มก่อน
ความจริงเสิ่นเทียนก็คาดการณ์คำเชิญขององค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียนได้จากในบางความหมายแล้ว
เพราะเขาเห็นภาพเกี่ยวกับอวี้เผียนเซียนเหนือศีรษะบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงฉีเซ่าเสวียน นั่นคือโชคลิขิตของฉีเซ่าเสวียน
หากเมื่อครู่เขาไม่ออกมือ จากการดำเนินเรื่องแล้ว ฉีเซ่าเสวียนจะเกิดความขัดแย้งกับปี้เสวียนชิงและเอ้อทงเทียนจนไปถึงเกิดศึกใหญ่
แต่ผลสุดท้าย สองฝ่ายต่างแตกพ่าย ฉีเซ่าเสวียนบาดเจ็บสาหัส
จากนั้นองค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียนก็ชื่นชมในกำลังรบของฉีเซ่าเสวียน จึงเชิญเข้าหอมาพบกันเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์
แต่เสิ่นเทียนคิดว่าการจะให้บาดเจ็บทั้งตัวเพียงเพื่อพบองค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียนก็คงจะไม่ดีจริงๆ ดังนั้นเขาจึงขบคิด ตัดสินใจสู้กับเอ้อทงเทียนแทนฉีเซ่าเสวียน เพื่อไม่ให้ฉีเซ่าเสวียนบาดเจ็บสาหัสตามต้นฉบับเดิม
ทำบุญทำกุศล! ใจถึงก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนรู้
ข้าก็คงเป็นคนที่ทำความดีไม่หวังชื่อเสียงเหมือนเดิม!
ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้ ก็เป็นอย่างที่เสิ่นเทียนคาดการณ์ไว้คร่าวๆ จริงๆ
เพราะเสิ่นเทียนออกหน้ามาขวางโอรสสวรรค์เผ่าจระเข้เทพจักรพรรดิเอ้อทงเทียน ทำให้ฉีเซ่าเสวียนไม่ได้บาดเจ็บหนัก
เดิมทีต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยมากกว่าครึ่งเดือน ตอนนี้ปรับพลังคืนเดียวก็คงหายเป็นปลิดทิ้ง
และบัตรเชิญขององค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียน ก็ข้ามหัวฉีเซ่าเสวียนมาถึงมือเสิ่นเทียนเพราะเหตุนี้เอง
สหายฉี ข้าแค่เกาะโชคลิขิตของเจ้า จะไม่แย่งชิงมาเด็ดขาด
ของที่ควรเป็นของเจ้า ก็ต้องเป็นของเจ้า!
……
“สหายฉีพักในห้องพิเศษของหอเสียงสวรรค์หน่อยเถอะ! แซ่เสิ่นไปสำรวจเส้นทางก่อน”
เสิ่นเทียนจ้องวงรัศมีเหนือศีรษะฉีเซ่าเสวียน พิจารณาขั้นตอนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ถึงได้รับบัตรเชิญจากเด็กสาวเงือกมา
ภายใต้ประกายแสงส่องสะท้อน เสิ่นเทียนตามเด็กสาวเงือกเข้าไปในหอเสียงสวรรค์ จากนั้นว่ายไปยังห้องขององค์หญิงเงือกอวี้เผียนเซียน ทำให้คนอิจฉาจนหน้าม่วง
คุณชายเต่าดำอู่อู๋ตี๋ไม่รู้เอากระดองเต่าครึ่งส่วนมาจากที่ใด เขามอบให้เสิ่นเทียนตาปริบๆ “พี่ใหญ่บุตรศักดิ์สิทธิ์ พี่ใหญ่เสิ่น ท่านช่วยขอลายเซ็นของท่านหญิงเซียนเผียนเซียนให้ข้าได้หรือไม่ ข้า ข้ายินดีมอบสุดยอดวิชาของเผ่าข้าหมัดเทพราชันอหังการให้เป็นการแลกเปลี่ยน!”
หมัดเทพราชันอหังการเป็นมรดกวิชาสำคัญของเผ่าเต่าดำทะเลอุดร แม้จะไม่เหมือนบทต้องห้ามที่มีเพียงคนที่เจ้าเผ่าเลือกเท่านั้นที่ได้เรียน แต่ก็เก็บเป็นความลับไม่ถ่ายทอดให้ใคร
ปกติ เว้นแต่จะเป็นพันธมิตรที่เผ่าเทพเต่าดำยอมรับ ไม่เช่นนั้นเผ่ามนุษย์จะไม่มีสิทธิ์รับมรดกวิชานี้
แต่อู่อู๋ตี๋ก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เพราะเขามีฐานะไม่ธรรมดาในเผ่าเช่นกัน
เขามีสายเลือดเต่าดำหวนคืนสู่บรรพบุรุษ เป็นสายพันธุ์แปลกสองหน้า แม้อู่อู๋ตี๋จะยังเด็กในสี่คุณชายทะเลอุดร แต่ก็มีศักยภาพไม่อ่อนแอ
กล่าวได้ว่าในโอรสสวรรค์รุ่นเดียวกันของทะเลอุดร นอกจากเอ๋าอูที่มีสายเลือดมังกรดำระดับแปดแล้ว คนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าอู่อู๋ตี๋แทบจะนับนิ้วได้เลย
เขาถ่ายทอดมรดกสู่ภายนอก อย่างมากสุดก็โดนลงโทษหันหน้าเข้ากำแพงสักช่วงเวลาหนึ่ง
แต่หากให้กับเสิ่นเทียน ดวงดีขึ้นมาบางทีอาจจะไม่ใช่แค่ไม่ถูกลงโทษ แต่ยังได้รับคำชมจากผู้อาวุโสในเผ่าอีก
ถึงอย่างไรการมอบของให้ไอ้พวกเพื่อนๆ กเฬวรากที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว กับมอบของให้หัวหน้า คนใหญ่คนโตอัจฉริยะที่รู้จักรับมือกับสถานการณ์ก็คนละความหมายกันเลย
ตลอดหมื่นปีมานี้ เผ่าเทพเต่าดำกอดต้นขาเผ่ามังกรดำมาตลอด ยืนตำแหน่งอัครเสนาบดีอย่างเหนียวแน่น ก็เพราะได้อาศัยคุณความดีตรงนี้!
หมัดราชันอหังการรึ สมกับเป็นมรดกของเผ่าเทพเต่าดำ
เสิ่นเทียนนึกถึงชุดเกราะเต่าดำที่อาจารย์ให้ตนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูฝืนๆ ไปทีละนิด
เขารับกระดองเต่าของอู่อู๋ตี๋มา ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นพี่น้องกัน แค่เรื่องเล็กๆ เอง หมัดราชันอหังการอะไรนี่ ช่างมันเถอะ!”
เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็เดินไปหอชั้นบนที่อยู่ของอวี้เผียนเซียนโดยไม่หันมามองอีก
……..
ต้องบอกว่าทิวทัศน์บนยอดหอเสียงสวรรค์วิจิตรกว่าชั้นหนึ่งมาก
พืชทะเลหลากสีโยกไหวกลางทะเล แมงกะพรุนงดงามร่ายระบำเบาๆ บางครั้งจะแอบมองเสิ่นเทียนด้วยความเขินอาย
ผ่านเส้นทางแคบยาวไป เด็กสาวเงือกก็นำเสิ่นเทียนมาถึงหน้าประตูวิจิตรอันเงียบสงบ
มองผ่านประตูวิจิตรนั้นจะเห็นเงาแผ่นหลังรางๆ นางมีร่างเป็นคนหางเป็นปลาเหมือนกับเด็กสาวเงือก กำลังพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
แค่มองผ่านประตูวิจิตรก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดพิเศษที่แผ่กระจายมาจากหญิงคนนี้ นางเหมือนมีเวทมนตร์เฉพาะอย่างหนึ่ง ทำให้คนจมลงไปโดยไม่รู้ตัว
“องค์หญิงอยู่ในห้อง ขอให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องเขินอาย”
เด็กสาวเงือกมององค์หญิงเงือกด้วยความชื่นชมทีหนึ่ง ก่อนจะถอยไปด้านข้างด้วยความอาลัยอาวรณ์
ทหารยามของหอเสียงสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ใกล้ๆ ก็ถูกเด็กสาวเงือกพาไป ทางเดินทั้งชั้นบนสุดไปกันหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน