แต่หลังจากผ่านเวลามาอย่างยาวนาน น้ำชาได้แห้งไปหมดแล้ว
สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงคือตรงกลางของฟูกบนเตียงมีรูปปั้นหินนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งองค์
พื้นผิวของรูปปั้นหินองค์นี้ดูเรียบเนียน ชายเสื้อพริ้วไหวตามสายลม รูปร่างบอบบาง
ส่วนของใบหน้าได้รับการแกะสลักอย่างประณีตราวกับมีชีวิต
หลังจากทุกคนเดินเข้ามาในห้องลับ ด้านหน้าของรูปปั้นหินมีภาพเงาของผู้หญิงปรากฏขึ้นหนึ่งร่าง
ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้คล้ายคลึงกับรูปปั้นหินมาก สวมชุดกระโปรงสีน้ำเงิน ใบหน้าสง่างาม
รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวหลิงเซียน
ถึงขั้นยังมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์และสง่างามแฝงอยู่หลายส่วน ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกยำเกรง
ร่างเงาลอยอยู่กลางอากาศ เหลือบมองมาทางเสิ่นเทียนและคนอื่นด้วยสายตาที่เฉยเมยแวบหนึ่ง
หลังจากที่เห็นเสิ่นเทียน ภาพเงาร่างนี้ราวกับหยุดชะงักไปสิบกว่าวินาที
นางเอ่ยปากกล่าวอย่างเชื่องช้า “ผู้มาสามารถผ่านประตูนี้มาได้ คิดว่าจิตของข้าคงดับสูญไปแล้ว”
“ข้าคือผู้ผู้อาวุโสเก้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก มีนามว่าผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง”
“ผู้มาเยือนใช้เลือดเปิดห้องหินถ้ำเซียน แสดงว่าจักต้องเป็นทายาทรุ่นหลังของเผ่าข้า”
“ก้าวออกมาโขกหัวคำนับ จักได้รับการสืบทอดจากข้า”
……
ภาพเงากล่าวแจ้งชื่อพรรคสำนักของตนเอง ทำให้ทุกคนตกใจจนพูดไม่ออกทันที
ผู้อาวุโสเก้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก?
สถานะนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็นับว่าจัดอยู่ในรายนามอันดับต้นๆ
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสเก้าของของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก สถานะอยู่ใต้เพียงเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์
สามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลระดับแนวหน้าสุดของดินแดนบูรพา
นึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเสี่ยวหลิงเซียนแวบหนึ่ง
คาดคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีเพียงนางสามารถเปิดประตูถ้ำเซียน
“พี่เสิ่น นางสั่งให้ข้าโขกหัวคำนับ”
เสี่ยวหลิงเซียนมองภาพเงา กล่าวถาม “ข้าควรจะทำตามหรือไม่”
เสิ่นเทียนยิ้มแล้วยิ้มอีก “ในเมื่อเป็นผู้อาวุโสของเผ่าเดียวกับเจ้า แสดงความเคารพต่อนางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เสี่ยวหลิงเซียนพยักหน้า เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นหินอย่างเชื่อฟัง
นางโขกหัวคำนับสามครั้งให้กับรูปปั้นหินผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง
ภาพเงาพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว ไม่เลว ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง”
“เด็กน้อย เจ้ามานี่”
เสี่ยวหลิงเซียนเดินเข้าใกล้ภาพเงาอย่างเชื่อฟัง
อีกฝ่ายเหลือบมองเสิ่นเทียนแวบหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วชี้ออกไปแตะกลางหว่างคิ้วของเสี่ยวหลิงเซียน
ทันใดนั้นภาพเงากลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนกระจายออก ถาโถมเข้าไปในร่างกายของเสี่ยวหลิงเซียน
เสียงของผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิงดังก้องอยู่ในห้องลับ
“เด็กรุ่นหลังจงจำไว้ให้ดี ข้าและผู้อาวุโสชื่ออวี่หยวนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพเมฆามีนัดประลองห้าร้อยปี
ปัจจุบันข้าถึงคราวดับสูญ แต่การนัดหมายไม่เป็นอันโมฆะ
ผู้ที่ได้รับการสืบทอดจากข้า ต้องกราบไหว้เป็นลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ในวันข้างหน้าท้าประลองสู้กับทายาทของผู้อาวุโสชื่ออวี่หยวน การต่อสู้ครั้งนี้แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!”
……
ทันทีที่สิ้นเสียง จุดแสงก็หายไปทั้งหมดด้วย
เสี่ยวหลิงเซียนลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
ในขณะเดียวกัน วงรัศมีเหนือศีรษะของนางก็สว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วงรัศมีสีแดงขนาดใหญ่ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอย่างร้อนแรง
ตรงขอบบางส่วนของวงรัศมีเต็มไปด้วยแสงสีทองล้อมรอบ ถึงขั้นดูสว่างไสวยิ่งกว่าวงรัศมีของฉินเกา
ส่วนร่างกายของเสิ่นเทียนก็เบาลงชั่วขณะ ราวกับกำลังจะล่องลอยเหมือนเทพเซียน
เห็นได้ชัด นี่เป็นการสืบทอดที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
เห็นสายตาของเสิ่นเทียนจ้องตนเอง ใบหน้าของเสี่ยวหลิงเซียนแดงเล็กน้อย
นางรีบกล่าว “อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ข้าสองแขนง แขนงแรกเป็นทักษะลับค้นวิญญาณ ‘เคล็ดวิชามองลอดวิญญาณสวรรค์’ อีกแขนงหนึ่งคือ ‘คัมภีร์จักรพรรดิธารหยก’ เป็นวิชาก่อนระดับหลอมรวมเทพ
แต่ว่าต้องขอโทษพี่เสิ่นด้วย ตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ข้าได้พูดเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน